Re-Finance สำหรับผู้กู้ซื้อคอนโด
สำหรับผู้ที่คิดอยากจะกู้ซื้อคอนโด เรื่องสำคัญที่จะต้องศึกษาก็คือเรื่องอัตราดอกเบี้ยของแต่ละธนาคาร โดยแต่ละธนาคารมีหลักในการปล่อยสินเชื่อต่างกัน แต่สำหรับผู้ที่สนใจอยากเป็นเจ้าของคอนโดก็จะต้องทราบว่า ดอกเบี้ยที่เราต้องชำระจะคงที่ใน 3 ปีแรก บางธนาคารอาจจะให้ดอกเบี้ยคงที่ถึง 5 ปี แล้วหลังจากนั้น ดอกเบี้ยในส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นแบบลอยตัว ซึ่งแปลว่าจะต้องผ่อนชำระมากขึ้น
วิธีแก้ปัญหาในกรณีที่ดอกเบี้ยคงที่ กำลังจะเปลี่ยนเป็นดอกเบี้ยลอยตัว ก็จะมี 2 วิธี
1. ใช้เงินก่อนที่เราเก็บสะสมมาจ่ายทบเพื่อให้เงินต้นที่เหลืออยู่ลดลง เมื่อเงินต้นลดลงแล้ว จะทำให้เราจ่ายดอกเบี้ยลดลงด้วยเช่นกัน แต่บางธนาคารอาจมีเงื่อนไขกำหนด “ห้าม” นำเงินมาทบก่อนกำหนดเวลา ต้องศึกษานโยบายของธนาคารให้ดีเสียก่อน
2. Re-Finance หรือกู้ยืมสินเชื่ออันใหม่มาแทน โดยเลือกดอกเบี้ยในอัตราใหม่ที่ถูกกว่าเดิม โดยคิดจากเงินต้นที่เหลือ หักในส่วนที่เราผ่อนชำระใน 3 ปีแรกแล้ว และนำไปขอสินเชื่อใหม่ วิธีการนี้จะช่วยทำให้ลดเงินต้นได้เร็วขึ้น แต่การ Re-Finance จะต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆ เพิ่มเข้ามาด้วย
ค่าใช้จ่ายสำหรับการ Re-Finance
1. ค่าจดจำนอง คิดเป็น 1% ของเงินกู้ใหม่ แต่จะไม่มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้ ถ้า Re-Finance กับธนาคารเดิม
2. ค่าประเมินราคาทรัพย์สิน อยู่ที่ 0.25-2% ของเงินกู้ใหม่ แต่จะไม่มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้ ถ้า Re-Finance กับธนาคารเดิม
3. ค่าธรรมเนียมการปล่อยกู้ ประมาณ 0-3% ของวงเงินกู้ใหม่
4. ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ใหม่ อัตรานี้จะเท่ากันทุกธนาคาร
5. ค่าประกันอัคคีภัย ที่ต้องจ่ายให้ธนาคารใหม่ หลังจากนำค่าธรรมเนียมที่ต้องชำระในการ Re-Finance ที่ต้องชำระมาคำนวณแล้ว ก็จะพอทราบว่า การ Re-Finance นั้นคุ้มในระยะยาวหรือไม่ ในกรณีที่คำนวณแล้ว ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่างๆ ไม่คุ้มค่าในการโอนสินเชื่อไปธนาคารใหม่ เราขอแนะนำให้ท่านลองเจรจากับธนาคารเดิมที่ท่านผ่อนชำระอยู่ว่า พอจะปรับลดภาษีลงได้บ้างหรือไม่ วิธีนี้ก็เป็นวิธีที่สามารถทำได้เช่นกัน
By : Blue~BeRry