ต่างชาติลงทุนอสังหาฯไทย
ภูเก็ต บลู ฮอริซันฯ งัดกลยุทธ์ เรสซิเดนซ์ โฮเต็ล ขายรูปแบบการันตีผลตอบแทนลงทุน
นายอันเดรส พิร่า ประธานบริหาร บริษัท บลู ฮอริซัน เดเวลลอปเมนท์ส ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใน จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นกลุ่มทุนจากต่างชาติ เปิดเผยว่า ปัจจุบันรูปแบบการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ในเมืองท่องเที่ยวนิยมใช้กลยุทธ์รับ ประกันผลตอบแทนการลงทุน รวมไปถึงเชนโรงแรมชื่อดังเข้ามาบริหาร ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่มีแนวโน้มเติบโตสูงมาก และประเมินว่ายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากแนวทางดังกล่าวบริษัทจึงใช้รูปแบบดังกล่าวมาใช้เป็นจุดขายโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัท
ทั้งนี้ บริษัทได้เร่งทำการตลาดโครงการ รามาดา พลาซ่า แกรนด์ หิมาลัย โอเชียนฟรอนต์ เรสซิเดนซ์ บริหาร ภายใต้การแบรนด์วินด์แฮม โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท โครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ รูปแบบเรสซิเดนซ์ โฮเต็ล จำนวน 426 ยูนิต ติดหาดกมลา ราคาเริ่มต้น 3.9 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,900 ล้านบาท ซึ่งเปิดตัวตั้งปี 2560 ปัจจุบันสามารถทำยอดขายได้แล้ว 89% โดยการการันตีผลตอบแทนการลงทุน 5 ในช่วงปีแรกปีละ 7% และได้มีการเซ็นสัญญาเพื่อใช้แบรนด์รามาดา เข้ามาบริหารเป็นระยะเวลา 10 ปี
นอกจากนี้ ในช่วงเดือน ธ.ค.ปีนี้ บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการคอนโด ในรูปแบบเรสซิเดนซ์ โฮเต็ล ภายใต้ชื่อแบรนด์ เฮวาน่า เรสซิเดนซ์ บาย เดอะ ซี ภูเก็ต จำนวน 740 ยูนิต มูลค่าโครงการ 4,200 ล้านบาท ราคาขาย 3.7 ล้านบาท ที่ผ่านมาบริษัท ได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยแล้วกว่า 16 ปี ได้มีการพัฒนาโครงการใน จ.ภูเก็ตแล้ว 15 โครงการ โดยบริษัทมีแผนพัฒนาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมุ่งเจาะในพื้นที่ใกล้ทะเล ทั้งภูเก็ต พังงา และกระบี่ เป็นต้น
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ใน จ.ภูเก็ต ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนของการ ท่องเที่ยว ซึ่งในแต่ละปีจะเห็นได้ว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น การลงทุนของภาครัฐโดยเฉพาะการขยายสนามบิน การเดินหน้าพัฒนาโครงการรถไฟฟ้ารางเบา ขณะที่ราคาขายคอนโดมิเนียมโดยเฉพาะที่อยู่ริมหาดชายนั้น มีราคาปรับขึ้นค่อนข้างสูงเฉลี่ยปีละ 10-15%
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
เพราะเหตุใดคอนโดมิเนียมในประเทศไทยถึงเป็นตัวเลือกที่นักลงทุนชาวต่างชาติตัดสินใจลงทุน Zmyhome จะพาไปไขข้อข้องใจ ดังต่อไปนี้
1. ราคาคอนโดมิเนียม เพิ่มขึ้นสูงขึ้นต่อเนื่องทุกปี เนื่องจากราคาคอนโดมิเนียมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของราคาต่อเนื่อง ทำให้คอนโดมิเนียมในประเทศไทยเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงหลังน้ำท่วมปี 2554 ราคาคอนโดมิเนียมได้ถีบตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนปัจจุบันปี 2558 โดยปัจจุบันราคาคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury ถีบตัวแพงที่สุดถึง 340,000 บาทต่อตารางเมตร (MahaNakhon Building) เมื่อเทียบกับ 3 ปีที่แล้วราคาสูงสุดเพียงแค่ประมาณ 230,000 บาทต่อตารางเมตรเท่านั้น จากราคาคอนโดมิเนียมที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ชาวต่างชาติต่างสนใจ และเห็นโอกาสในการเข้ามาลงทุนจากช่องว่างของราคา ที่ยังสามารถขยับขึ้นไปได้อีก
2. ราคาที่อยู่อาศัยของไทย เมื่อเทียบกับต่างประเทศแล้ว ถือว่าราคายังค่อนข้างต่ำอยู่ เมื่อนำราคาที่อยู่อาศัยของไทยไปเทียบกับต่างประเทศอย่างฮ่องกง เซี้ยงไฮ้ กวางโจว สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ประเทศถือว่าราคาที่อยู่อาศัยนั้นต่ำกว่าอยู่มากพอสมควร จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ชาวต่างชาติเลือกที่จะลงทุนคอนโดมิเนียมในประเทศไทย
3. ไทยอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถ้าพูดถึงศักยภาพของประเทศไทยบนทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ด้านภูมิศาสตร์แล้วไทยถือว่าไม่เป็นรองประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากไทยอยู่เป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อกับหลายๆประเทศทั้ง พม่า ลาว จีน มาเลเซีย กัมพูชา และยิ่งกว่านั้นในอนาคตจะเปิดเป็นพื้นที่เศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ประเทศไทยได้รับทาบทามจากนานาประเทศ ให้เป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุน จะเป็นตัวดันให้ชาวต่างชาติต่างไหลเวียน เข้ามาทำต่อธุรกิจมากขึ้นและทำให้อสังหาริมทรัพย์ ประเทศไทยเนื้อหอมตามไปด้วย
4. ผลตอบแทนอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ผลตอบแทนอสังหาริมทรัพย์คอนโดมิเนียมของไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 4-7% ถ้านำไปเทียบกับต่างประเทศแล้วไทยก็ถือว่าอยู่ในอันดับที่ดีกว่า สิงคโปร์ ฮ่องกง และประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศ
5. สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ประเทศไทยมีอาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์ตลอดปี ราคาค่าครองชีพต่ำ มีสถานที่ท่องเที่ยวตากอากาศที่สวยงามทั้งภูเขา ทะเล ผู้คนอัธยาศัยดียิ้มแย้มแจ่มใส มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ให้เดินได้อย่างเต็มที่จนได้รับขนานนามจากชาวต่างชาติว่าไทยคือ “สวรรค์แห่งการช๊อปปิ้ง” อีกทั้งมีการแพทย์ที่มีชื่อเสียง ถึงขั้นที่ว่ามีชาวต่างชาติข้ามทวีปเพื่อมารักษาในประเทศ เพราะได้บริการที่ดีแล้วราคาถือว่าไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ข้อดีต่าง ๆ เหล่านี้จึงทำให้ชาวต่างชาติหลายคน เมื่อถึงวัยเกษียณจึงเลือกที่จะมาใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศไทย
เทคนิคการเลือกซื้อคอนโดมิเนียมแบบไหนถึงจะเหมาะกับชาวต่างชาติ
1. ทำเล (Location) ขั้นแรกต้องเข้าใจก่อนว่าชาวต่างชาติ แต่ละเชื่อชาติจะมีแหล่งที่อยู่อาศัยแตกต่างกันไป โดยลักษณะการอยู่อาศัยจะอยู่กันเป็นกลุ่มๆ ดังนั้นเราต้องเลือกทำเลให้ถูกว่าเราจะเลือกลงทุนให้คนกลุ่มไหน เช่น ชาวญี่ปุ่นจะอยู่บริเวณสุขุมวิทตอนกลาง (สุขุมวิทซอย 21-เอกมัย), ชาวยุโรป อเมริกา จะอยู่บริเวณสุขุมวิทตอนต้น เพลินจิต ชิดลม, ชาวตะวันออกกลางจะอยู่บริเวณสุขุมวิทตอนต้น (สุขุมวิทซอย 3-23 หรือเรียกว่า ย่านนานา) ชาวเกาหลีอยู่บริเวณสุขุมวิท 12 (โคเรียน ทาวน์) และชาวจีน จะอยู่บริเวณพระราม9-รัขดาภิเษก2. ขนาดพื้นที่ใช้สอย (Usable Area) เมื่อเราเข้าใจทำเลการอยู่อาศัย แต่ของชาวต่างชาติแต่ละกลุ่มแล้ว ขนาดพื้นที่ใช้สอยของแต่ละกลุ่มก็แตกต่างกันออกไป โดยคอนโดมิเนียมที่เหมาะสำหรับชาวญี่ปุ่น ขนาด 1 ห้องนอนพื้นที่ใช้สอยควรจะเริ่มจาก 45 ตารางเมตรขึ้นไป และ 2 ห้องนอนควรเริ่มต้นตั้งแต่ 80 ตารางเมตรขึ้นไป สำหรับชาวยุโรปและชาวอเมริกัน ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย (Expat) ส่วนใหญ่เป็นระดับผู้บริหาร คนกลุ่มนี้ต้องการห้องขนาดใหญ่โปร่งโล่ง สำหรับ 1 ห้องนอนต่ำๆต้องขนาด 55 ตารางเมตรขึ้นไป และสำหรับ 2 ห้องนอนเป็นครอบครัวขนาดต้องเริ่มตั้งแต่ 120 ตารางเมตรขึ้นไป
3. การตกแต่งและคุณภาพของห้อง จะเป็นตัวช่วยเสริมให้การตัดสินใจ เลือกห้องของชาวต่างชาติคล่องตัวมากขึ้น การตกแต่งภายใน (Interior Design) ความโปร่งโล่งสบาย ข้าวของใช้จำเป็นภายในห้อง และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในอาคาร ต้องตรงกับความต้องการ ของกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่เราสนใจ
4. วิว (View) ถ้าวิวทิวทัศน์ดีในการมองเห็นวิวต่างๆดีไม่ว่าจะเป็น City view, Garden view, Sea view มีผลต่อการช่วยเสริม ให้ตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์มากขึ้น
ติดตามข่าวสาร บ้าน คอนโค ที่ดิน อสังหาฯ เเละอัพเดท ราคาบ้าน ราคาคอนโด เพื่อให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายเห็นภาพที่แท้จริงของตลาด และตัดสินใจได้ถูกต้อง ก่อนใครที่ ZmyHome