ให้ข้อมูลราคาขายดาวน์ยังไง ให้ขายได้เร็ว
ถ้าเราต้องการขายดาวน์ให้เร็ว นอกเหนือจากการให้ข้อมูลเกี่ยวกับห้องที่เราจะขายให้ครบถ้วนแล้ว สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากคือการให้ข้อมูลเรื่องราคากรอกข้อมูล 4-6 อย่างนี้ให้ครบเมื่อตั้งราคาขายดาวน์เพื่อให้ผู้ซื้อเข้าใจราคาห้องของคุณ
คนซื้อต้องการรู้ "ราคารวมของห้อง” มากกว่า “ราคาขายดาวน์” ในการขายดาวน์นั้น เจ้าของที่จะขายดาวน์ควรระลึกไว้เสมอว่า ผู้ซื้อจะต้องการทราบ “ราคารวมของห้องชุด” ที่จะต้องจ่าย ไม่ใช่เพียงราคาที่จะต้องจ่ายให้กับเจ้าของ หรือ “ราคาขายดาวน์” อย่างไรก็ดีเราอาจจะเคยเห็นประกาศขายดาวน์จำนวนมาก เจ้าของจะประกาศขายว่า “ขายดาวน์ 150,000 บาท” หรือ “ขายดาวน์ 1,500,000 บาท” เป็นต้น
ซึ่งการให้รายละเอียดเรื่องราคาในการขายดาวน์ที่ถูกต้องนั้น ข้อมูลจะต้องประกอบด้วย “ราคาขายรวม” ซึ่งเท่ากับ “ราคาที่ซื้อมาจากโครงการ” + “กำไรที่เจ้าของต้องการ” (ถ้ายอมขายขาดทุน ก็ให้ลดราคาลงเท่าก้บเงินที่เรายอมขาดทุน) “ราคาขายดาวน์” ซึ่งเท่ากับ “เงินที่เราได้จ่ายโครงการไปแล้วทั้งหมด” + “กำไรที่เราต้องการ” “มูลค่าผ่อนดาวน์ที่ต้องผ่อนต่อกับโครงการ” และเหลือ “ยอดผ่อนอีกกี่งวด” (ถ้าผ่อนครบแล้วก็บอกด้วยว่าได้ผ่อนดาวน์ครบแล้ว) “เงินโอน” ที่จะต้องจ่ายกับโครงการหลังจากที่สร้างเสร็จและไปโอนที่กรมที่ดิน
การโทรสอบถามรายละเอียดแต่ละห้อง ต้องใช้เวลามาก ในมุมของเจ้าของ เราอาจคิดว่ารายละเอียดเหล่านี้ไม่จำเป็นมาก แต่ถ้าเราคิดในมุมผู้ซื้อ การที่เรารู้ “ราคาขายดาวน์” เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถทำให้เราเปรียบเทียบได้เลยว่าห้องไหนถูกหรือแพง ซึ่งผู้ขายอาจจะคิดว่าการที่ตัวเองขายเอากำไรน้อย หรือขายเท่าทุน เป็นการที่ทำให้ผู้ซื้อได้ราคาดีแลัว แต่เราต้องอย่าลืมว่าโดยปกติโครงการก็มีการปรับราคาขายตามสภาพตลาดตลอด
ซึ่งการที่เรายอมขายเท่าทุน อาจไม่ได้แปลว่าราคาของเราที่เสนอจะน่าสนใจกว่าห้องอื่นเสมอไป และหากผู้ซื้อต้องคอยโทรถามรายละเอียดเหล่านี้ทีละห้อง (ที่สำคัญผู้ขายมักไม่เตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้า และบางครั้งต้องรอคำตอบเป็นวันๆ) หลายๆ ห้อง และหลายๆ โครงการ ผู้ซื้อก็จะต้องใช้เวลามากขึ้นกว่าจะได้ข้อมูลครบถ้วนเพื่อตัดสินใจ
สมมติว่าเราซื้อห้องชุดมา 1.5 ล้านบาท และเราต้องการกำไร 100,000 บาท โดยที่เราผ่อนดาวน์กับโครงการไปแล้ว 120,000 บาท เราก็ควรจะให้รายละเอียดเรื่องราคาดังนี้ (ไม่ต้องบอกข้อมูลในวงเล็บ)
ตัวอย่างการให้ราคาของการขายดาวน์ที่ครบถ้วน ในกรณีที่วันโอนมีส่วนลดเงินสดเพิ่มเติม (บางโครงการอาจให้ส่วนลดถ้าผู้ซื้อผ่อนดาวน์ตรงเวลาทุกงวด หรือเพราะเหตุผลอื่นๆ) ก็ให้ระบุไว้ต่างหาก เพื่อให้ผู้ซื้อทราบและเปรียบเทียบกับห้องอื่นๆ ได้ง่ายๆอย่าลืมนะครับพยายามให้ข้อมูลเพื่อให้ผู้ซื้อหาข้อมูลและตัดสินใจได้ง่ายที่สุด เพราะบ้านเป็นสิ่งที่แพงที่สุดในชีวิตที่ซื้อของคนส่วนใหญ่
ดังนั้นผู้ซื้อมักจะหาข้อมูลอย่างครบถ้วนก่อนตัดสินใจ การที่จะขายให้ง่าย ควรให้ข้อมูลให้ครบถ้วนที่สุดโดยไม่ต้องโทรถาม ซึ่งสำหรับกรณีด้านบน การให้ข้อมูลราคาที่ถูกต้องก็จะเป็นดังนี้ “ราคาขายรวม 1.6 ล้านบาท” “ราคาขายดาวน์ 220,000 บาท” “ผ่อนดาวน์ต่อกับโครงการ 30,000 บาท อีก 6 งวด “โอน 1,350,000 บาท” มีส่วนลดเงินส่วนเพิ่ม 50,000 บาทหากทุกงวดที่เหลือชำระตรงเวลา (ที่ผ่านมาชำระตรงเวลาทุกงวด) ค่าเปลี่ยนสัญญา XXX บาท (ถ้ามี หรือ ให้ใครออกก็ระบุ แต่ปัจจุบันกฎหมายห้ามไม่ให้เก็บค่าเปลี่ยนสัญญาแล้ว)
ขอให้ทุกคนขายได้ตามที่ตั้งใจครับ
จากใจ
ZmyHome
ฝากกดแชร์เป็นกำลังใจให้ด้วยครับ
คนซื้อต้องการรู้ "ราคารวมของห้อง” มากกว่า “ราคาขายดาวน์” ในการขายดาวน์นั้น เจ้าของที่จะขายดาวน์ควรระลึกไว้เสมอว่า ผู้ซื้อจะต้องการทราบ “ราคารวมของห้องชุด” ที่จะต้องจ่าย ไม่ใช่เพียงราคาที่จะต้องจ่ายให้กับเจ้าของ หรือ “ราคาขายดาวน์” อย่างไรก็ดีเราอาจจะเคยเห็นประกาศขายดาวน์จำนวนมาก เจ้าของจะประกาศขายว่า “ขายดาวน์ 150,000 บาท” หรือ “ขายดาวน์ 1,500,000 บาท” เป็นต้น
ซึ่งการให้รายละเอียดเรื่องราคาในการขายดาวน์ที่ถูกต้องนั้น ข้อมูลจะต้องประกอบด้วย “ราคาขายรวม” ซึ่งเท่ากับ “ราคาที่ซื้อมาจากโครงการ” + “กำไรที่เจ้าของต้องการ” (ถ้ายอมขายขาดทุน ก็ให้ลดราคาลงเท่าก้บเงินที่เรายอมขาดทุน) “ราคาขายดาวน์” ซึ่งเท่ากับ “เงินที่เราได้จ่ายโครงการไปแล้วทั้งหมด” + “กำไรที่เราต้องการ” “มูลค่าผ่อนดาวน์ที่ต้องผ่อนต่อกับโครงการ” และเหลือ “ยอดผ่อนอีกกี่งวด” (ถ้าผ่อนครบแล้วก็บอกด้วยว่าได้ผ่อนดาวน์ครบแล้ว) “เงินโอน” ที่จะต้องจ่ายกับโครงการหลังจากที่สร้างเสร็จและไปโอนที่กรมที่ดิน
การโทรสอบถามรายละเอียดแต่ละห้อง ต้องใช้เวลามาก ในมุมของเจ้าของ เราอาจคิดว่ารายละเอียดเหล่านี้ไม่จำเป็นมาก แต่ถ้าเราคิดในมุมผู้ซื้อ การที่เรารู้ “ราคาขายดาวน์” เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถทำให้เราเปรียบเทียบได้เลยว่าห้องไหนถูกหรือแพง ซึ่งผู้ขายอาจจะคิดว่าการที่ตัวเองขายเอากำไรน้อย หรือขายเท่าทุน เป็นการที่ทำให้ผู้ซื้อได้ราคาดีแลัว แต่เราต้องอย่าลืมว่าโดยปกติโครงการก็มีการปรับราคาขายตามสภาพตลาดตลอด
ซึ่งการที่เรายอมขายเท่าทุน อาจไม่ได้แปลว่าราคาของเราที่เสนอจะน่าสนใจกว่าห้องอื่นเสมอไป และหากผู้ซื้อต้องคอยโทรถามรายละเอียดเหล่านี้ทีละห้อง (ที่สำคัญผู้ขายมักไม่เตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้า และบางครั้งต้องรอคำตอบเป็นวันๆ) หลายๆ ห้อง และหลายๆ โครงการ ผู้ซื้อก็จะต้องใช้เวลามากขึ้นกว่าจะได้ข้อมูลครบถ้วนเพื่อตัดสินใจ
สมมติว่าเราซื้อห้องชุดมา 1.5 ล้านบาท และเราต้องการกำไร 100,000 บาท โดยที่เราผ่อนดาวน์กับโครงการไปแล้ว 120,000 บาท เราก็ควรจะให้รายละเอียดเรื่องราคาดังนี้ (ไม่ต้องบอกข้อมูลในวงเล็บ)
- “ราคาขายรวม 1.6 ล้านบาท” (ราคาที่ซื้อจากโครงการ 1.5 ล้านบาท + กำไร 1 แสนบาท)
- “ราคาขายดาวน์ 220,000 บาท” (เท่ากับยอดผ่อนดาวน์ที่เราผ่อนกับโครงการไปแล้ว 120,000 บาท + กำไร 1 แสนบาท)
- “ผ่อนดาวนต่อกับโครงการ” เท่าไหร่ก็บอกให้ครบถ้วน และคิดเป็นจำนวนกี่งวด (เช่น ผ่อนดาวน์ต่ออีก 30,000 บาท 6 งวด)
- “โอน 1,350,000 บาท” (ราคาขาย 1.6 ล้าน – ราคาซื้อดาวน์ 220,000 บาท – ยอดที่ต้องผ่อนกับโครงการอีก 30,000 บาท)
ตัวอย่างการให้ราคาของการขายดาวน์ที่ครบถ้วน ในกรณีที่วันโอนมีส่วนลดเงินสดเพิ่มเติม (บางโครงการอาจให้ส่วนลดถ้าผู้ซื้อผ่อนดาวน์ตรงเวลาทุกงวด หรือเพราะเหตุผลอื่นๆ) ก็ให้ระบุไว้ต่างหาก เพื่อให้ผู้ซื้อทราบและเปรียบเทียบกับห้องอื่นๆ ได้ง่ายๆอย่าลืมนะครับพยายามให้ข้อมูลเพื่อให้ผู้ซื้อหาข้อมูลและตัดสินใจได้ง่ายที่สุด เพราะบ้านเป็นสิ่งที่แพงที่สุดในชีวิตที่ซื้อของคนส่วนใหญ่
ดังนั้นผู้ซื้อมักจะหาข้อมูลอย่างครบถ้วนก่อนตัดสินใจ การที่จะขายให้ง่าย ควรให้ข้อมูลให้ครบถ้วนที่สุดโดยไม่ต้องโทรถาม ซึ่งสำหรับกรณีด้านบน การให้ข้อมูลราคาที่ถูกต้องก็จะเป็นดังนี้ “ราคาขายรวม 1.6 ล้านบาท” “ราคาขายดาวน์ 220,000 บาท” “ผ่อนดาวน์ต่อกับโครงการ 30,000 บาท อีก 6 งวด “โอน 1,350,000 บาท” มีส่วนลดเงินส่วนเพิ่ม 50,000 บาทหากทุกงวดที่เหลือชำระตรงเวลา (ที่ผ่านมาชำระตรงเวลาทุกงวด) ค่าเปลี่ยนสัญญา XXX บาท (ถ้ามี หรือ ให้ใครออกก็ระบุ แต่ปัจจุบันกฎหมายห้ามไม่ให้เก็บค่าเปลี่ยนสัญญาแล้ว)
ขอให้ทุกคนขายได้ตามที่ตั้งใจครับ
จากใจ
ZmyHome
ฝากกดแชร์เป็นกำลังใจให้ด้วยครับ
