• 28 ก.ย. 2561

ธปท. ห่วงการปล่อยสินเชื่อ ธอส. เเย้งย้ำปล่อยกู้บ้านรอบคอบ

ธปท. ห่วงการปล่อยสินเชื่อ ธอส. เเย้งย้ำปล่อยกู้บ้านรอบคอบ 
          สวัสดีครับวันนี้คงต้องพูดถึงเรื่องราว ระหว่างธนาคาร 2 เเห่งที่กำลังหวั่น เรื่องการปล่อยสินเชื่อคอนโด ที่อยู่อาศัย ระหว่าง ธนาคารแห่งประเทศไทย กับ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยทางด้านธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น หวั่นเรื่องของมาตรการการปล่อยสินเชื่อของ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เพราะเห็นว่ามี การเเข่งขันกันสูง และหย่อนมาตรฐานของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาเสถียรภาพการเงินในอนาคต จึงได้กำชับให้ธนาคารพาณิชย์ รายงานข้อมูลการปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ให้ ธปท. ทราบทุกเดือน เพื่อดูภาพรวมและระวังความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด 

          ทางด้านธนาคารอาคารสงเคราะห์ เองก็ขออกมาย้ำว่า ได้วางกติกาการปล่อยสินเชื่อบ้านไว้อย่างเข้มงวด  และไม่ได้เข้าข่ายข้อกังวลที่ ธปท. เป็นห่วง เพราะโดยหลักแล้วเน้นปล่อยกู้บ้านสำหรับเพื่ออยู่อาศัยจริง ๆ ไม่ได้ปล่อยกู้ไปซื้อบ้าน เพื่อปล่อยเช่าหรือเก็งกำไร รวมถึงเรื่องการตีมูลค่าหลักประกันได้ประเมินราคาหลักทรัพย์ก่อนทุกครั้ง ไม่ได้ยึดตามราคาซื้อขายที่แจ้งมาอย่างเดียว หากเป็นบ้านโครงการใหม่ จะตรวจสอบด้วยว่าโครงการไหนให้ส่วนลดเท่าใด เพื่อนำราคาที่ซื้อจริงมาใช้ประเมินสินเชื่อ ดังนั้นจึงไม่เกิดปัญหาการตีมูลค่าหลักประกันที่สูงเกินจริง

          ธนาคารแห่งประเทศไทย นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ธปท. เตรียมเชิญทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องหารือเกี่ยวกับมาตรการดูแลการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย เพื่อป้องกันการเก็งกำไรหลังจากที่พบว่าธนาคารพาณิชย์มีการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่แข่งขันกันมากขึ้น และหย่อนมาตรฐานของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาเสถียรภาพการเงินในอนาคต เนื่องจากผู้ซื้อไม่มีกำลังพอ ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาหนี้เสีย (NPL) หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในที่สุด

         ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวต่อไปว่า ดังนั้น ธปท. จึงได้กำชับให้ธนาคารพาณิชย์รายงานข้อมูลการปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ให้ ธปท. ทราบทุกเดือน เพื่อดูภาพรวมและระวังความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด จากเดิมที่มีการตรวจสอบเพียงปีละ 1 ครั้ง
 

          "เป็นห่วงการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่หย่อนมาตรฐานของธนาคารพาณิชย์ และให้วงเงินสินเชื่อต่อหลักประกันกับลูกค้าสูงกว่าที่ ธปท. แนะนำรวมทั้งเริ่มเห็นจำนวนที่อยู่อาศัยในตลาดเหลือมากขึ้น ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาด้านเสถียรภาพในอนาคต ดังนั้น เร็วๆ นี้ ธปท. จะเชิญทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมาหารือ เพื่อพิจารณาว่าจำเป็นต้องออกนโยบาย หรือเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้น เพื่อลดความเปราะบางนี้หรือไม่ ซึ่งอาจออกเป็นมาตรการกำกับสถาบันการเงินในภาพรวม ที่เข้ามาเสริมการดำเนินนโยบายการเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ

          ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวต่อไปว่า สถาบันการเงินบางแห่งมีการปล่อยสินเชื่อในปริมาณที่สูงเมื่อเทียบกับมูลค่าของที่อยู่อาศัยที่ของกู้ หรือ พบว่ามีการปล่อยสินเชื่อสูงกว่ารายได้ ของผู้กู้ นอกจากนี้ ยังพบว่าที่อยู่อาศัยบางประเภทมีอุปทานส่วนเกินสูง ซึ่งในบางช่วงพบว่า ประชาชนคาดหวังว่าราคาของที่อยู่ในอาศัยในบางพื้นที่จะปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีการเข้าไปซื้อเพื่อเก็งกำไร และปล่อยเช่า แต่เนื่องจากอุปทานส่วนเกินสูง จึงทำให้ได้ราคาไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ และทำให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) สูงขึ้นในเวลาต่อมา

          ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ธปท. ในฐานะกำกับดูแลสถาบันการเงินควรเข้าไปวิเคราะห์สาเหตุสำคัญของการเกิดหนี้เสียว่า เกิดจากสาเหตุใดผู้กู้ไม่สามารถผ่อนชำได้ได้ หรือสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อเสี่ยงมากเกินไป

          ด้านนายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวถึงกรณีที่ ธปท. จะเรียกสถาบันการเงินเข้าหารือคุมเข้มการปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ว่า ธปท. เข้มงวดในการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์และมีการหารือกันอย่างใกล้ชิดมาตลอด โดยได้มีการกำกับดูแลทั้งระบบ
 

          นายปรีดีกล่าวว่า ในส่วนของแบงก์พาณิชย์ก็มีเกณฑ์ในการปล่อยสินเชื่ออยู่แล้ว รวมทั้งมีความเข้มงวดระมัดระวังทุกขั้นตอน แต่หาก ธปท. ต้องการที่จะให้เข้มงวดมากขึ้น ก็คงต้องมาหารือกันว่าจะดำเนินนโยบายอย่างไร

          สำหรับการดูแลลูกหนี้กรณีเกิดปัญหานั้น นายปรีดีกล่าวว่า ปกติแบงก์พาณิชย์มีการดูการผิดนัดชะระภายใน 90 วัน เมื่อลูกหนี้ไม่มาชำระ ก็จะแจ้งเตือน ซึ่งลูกหนี้สามารถเข้ามาเจรจากับธนาคารได้ทุกขึ้นตอน แม้กระทั่งอยู่ในขั้นตอนที่ ฟ้องศาลแล้วก็ตาม ธนาคารก็พร้อมที่จะร่วมแก้ไขปัญหา ซึ่งก็จะพิจารณาเป็นกรณีเป็นรายไป


          ธนาคารอาคารสงเคราะห์ นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยถึงกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นห่วงเรื่องการปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ว่า ธอส.ได้วางกติกาการปล่อยสินเชื่อบ้านไว้อย่างเข้มงวด และไม่ได้เข้าข่ายข้อกังวลที่ธปท.เป็นห่วง เพราะโดยหลักแล้วเน้นปล่อยกู้บ้านสำหรับเพื่ออยู่อาศัยจริง ๆ ไม่ได้ปล่อยกู้ไปซื้อบ้านเพื่อปล่อยเช่าหรือเก็งกำไร รวมถึงเรื่องการตีมูลค่าหลักประกันได้ประเมินราคาหลักทรัพย์ก่อนทุกครั้ง ไม่ได้ยึดตามราคาซื้อขายที่แจ้งมาอย่างเดียว หากเป็นบ้านโครงการใหม่ จะตรวจสอบด้วยว่าโครงการไหนให้ส่วนลดเท่าใด เพื่อนำราคาที่ซื้อจริงมาใช้ประเมินสินเชื่อ ดังนั้นจึงไม่เกิดปัญหาการตีมูลค่าหลักประกันที่สูงเกินจริง

          ทั้งนี้ธอส.ยังปล่อยกู้แบบเข้มงวด โดยพิจารณาความสามารถการผ่อนเพียง 1 ใน 3 ของรายได้เท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าธนาคารอื่นที่คิดความสามารถในการผ่อนสูงถึง 50-60% ของรายได้ ทำให้ที่ผ่านมาลูกค้า ธอส.บอกว่า ธอส.ให้วงเงินสินเชื่อน้อยกว่าธนาคารอื่น เพราะต้องประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบ เพราะต่อไปหากลูกค้ามีรายได้ลดลง หรือรายจ่ายเพิ่มขึ้น ยังสามารถผ่อนชำระได้

          นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า หากคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม ราคาระดับกลางและระดับล่าง หรือตั้งแต่ราคา 3 ล้านบาทลงมา อาจกระทบต่อผู้ซื้อที่อยู่อาศัย ทำให้กู้ไม่ผ่านได้ ส่วนฝั่งผู้ประกอบการคงต้องติดตามในส่วนของโครงการที่รอรับรู้รายได้ (แบ๊กล็อก) ที่มีอยู่ประมาณ 330,000 ล้านบาท ซึ่งกว่า 90% เป็นคอนโดมิเนียม ว่าจะมีแผนบริหารจัดการอย่างไร

          นายต่อศักดิ์ เลิศศรีสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.อีสเทอร์น สตาร์ เรียลเอสเตท ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ผลกระทบอาจอยู่ในกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัยระดับราคา 1-2 ล้านบาท ที่มีผู้บริโภคมีความเปราะบางทางรายได้ อาจต้องติดตามอย่างระมัดระวังมากขึ้น
 

          ทั้งนี้โดยปกติธนาคารพาณิชย์มีเกณฑ์พิจารณาสินเชื่อที่มีระบบในการประเมินตามมาตรฐานอยู่แล้ว มองว่าธนาคารพาณิชย์ไม่ได้มีการลดหย่อนเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อ และปล่อยสินเชื่อให้ตามเกณฑ์ของลูกค้าแต่ละรายที่เหมาะสม ส่วนโครงการระดับราคาตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไปไม่ได้รับผลกระทบเพราะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงและอยู่จริง
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 

          ท่ามกลางการแข่งขัน ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะตลาด คอนโดใหม่ ที่มีการเปิดโครงการออกมาเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์ หันไปเพิ่มพอร์ตลูกค้าต่างชาติ และกลุ่มนักลงทุน เพื่อบริหารพอร์ตลูกค้า เนื่องจากระดับราคาห้องชุดที่ออกสู่ตลาดมีราคาที่สูง ตามต้นทุนที่ดินและค่าก่อสร้างที่สูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการ เพิ่มน้ำหนักโครงการแนวราบ ที่เป็นตลาดของกลุ่มผู้ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัย มากกว่าจะเป็นเก็งกำไร และมีสัญญาณความเข้ม ในการดูแลลูกค้าสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ส่งผลผู้ประกอบการออกแคมเปญกระตุ้นกำลังซื้อ

          นายมงกุฎ เตโชฬาร รองหัวหน้าคณะ ผู้บริหารด้านพัฒนาทรัพย์สินแนวราบ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ "SC" กล่าวว่า บริษัทฯได้ขยายฐานบ้านเดี่ยวรองรับกลุ่มลูกค้าครอบครัวเริ่มต้น ภายใต้แบรนด์ "เพฟ" ให้ครอบคลุมครบทุกโซนศักยภาพ โดยที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี พร้อมเปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่า 2,750 ล้านบาท ล่าสุด ได้เปิดพรีเซล โครงการเพฟ มอเตอร์เวย์-ฉะเชิงเทรา พื้นที่โครงการกว่า 45 ไร่ มูลค่า 800 ล้านบาท จำนวน 252 ยูนิต เป็นบ้านสไตล์โมเดิร์นรูปแบบใหม่ ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 79-150 ตร.ม. เริ่ม 2.29 ล้านบาท ซึ่งอยู่บนทำเลศักยภาพ โดยเชื่อมต่อถนนหลักได้หลายเส้นทาง เชื่อมสู่กรุงเทพฯ-ชลบุรี ด้วย ถ.สุขุมวิท 314, กรุงเทพ-บางประกงตัดมอเตอร์เวย, ถ.อ่อนนุช ลาดกระบัง (เทพราช), ถ.สุขุมวิท 304 และ ถ.บางนาตราดตัดบางประกง-ท่าสะอ้าน
 
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์  ( 28 September 2018 )
ที่มา : http://www.reic.or.th/news/News_Detail.aspx?newsid=57478

ติดตามข่าวสาร บ้าน คอนโค ที่ดิน อสังหาฯ เเละอัพเดท ราคาบ้าน ราคาคอนโด เพื่อให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายเห็นภาพที่แท้จริงของตลาด และตัดสินใจได้ถูกต้อง ก่อนใครที่ ZmyHome
บทความอื่นๆ
  • ค้นหาบ้านคอนโด

    ต้องการซื้อ หรือเช่า บ้าน คอนโด ตรวจ สอบราคา เช็คค่าเช่า ติดต่อตรงกับเจ้า ของตัวจริง ทุกทำเล ทั่วประเทศ

    ค้นหา
  • ลงประกาศ

    ต้องการขาย หรือปล่อยเช่า บ้าน คอนโด เพียงคุณเป็นเจ้าของตัวจริง และพร้อมที่จะลงประกาศอย่างมีคุณภาพ เพื่อให้ผู้ซื้อศึกษา อย่างสะดวกที่สุด ก็ลงประกาศ ได้เลย

    ลงประกาศ