• 8 ต.ค. 2561

บิ๊กตู่'นำทีมรมต.ศก.ถกอีอีซี

          เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก ครั้งที่ 4/2561 (อีอีซี) โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ฯลฯ เข้าร่วมประชุม
          พล.อ.ประยุทธ์กล่าวก่อนการประชุมว่า อีอีซีเป็นโครงการสำคัญของประเทศไทยที่ ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งได้รับทราบว่าหลายประเทศให้ความสนใจกล่าวถึงนโยบาย 4.0 และอีอีซี ขณะที่ในประเทศก็มีผู้ให้ความสนใจ ทั้งจากภาคเอกชนและฝ่ายการเมืองต่างๆ ด้วย ซึ่งตนเชื่อมั่นในการทำงานของทุกคน อะไรก็ตามที่จะเป็นรูรั่วที่จะทำให้เกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ต้องเร่งสร้างความเข้าใจ และขอให้ทุกคนต้องมั่นใจในการทำงานในสิ่งที่ถูกต้อง ภายใต้กฎหมายที่มีอยู่ทุกประการ เพื่อให้เกิดความสบายใจ ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะโครงการใหญ่ แล้วไม่กล้าจะทำเพราะไม่เคยทำมาก่อน ดังนั้น ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้มีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจต่อไปในอนาคตด้วย
ไฟเขียวลงทุน4โครงการอีอีซี 
          ต่อมา นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เปิดเผยผลการประชุม ว่า ได้มีมติเห็นชอบหลักการการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ 4 โครงการ และรับทราบกำหนดการออกประกาศหนังสือชี้ชวนภายใน (ทีโออาร์) เดือนตุลาคม 2561 ประกอบด้วย 1.โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก กำหนดได้เอกชนผู้ร่วมทุนกุมภาพันธ์ 2562 เปิดดำเนินการ 2566 เงินลงทุนรวม 290,000 ล้านบาท ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 189,999 ล้านบาท จ้างงาน 15,640 ตำแหน่งต่อปี ผลตอบแทนโครงการ 193,612 ล้านบาท 2.โครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานอู่ตะเภา กำหนดได้เอกชนผู้ร่วมทุนธันวาคม 2562 เปิดดำเนินการกลางปี 2565 เงินลงทุนรวม 10,588 ล้านบาท ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 22,100 ล้านบาท จ้างงานเทคโนโลยีขั้นสูง ประมาณ 80,000 ล้านบาท เพิ่มรายได้จากบริการสายการบินต่างประเทศ ประมาณ 200,000 ล้านบาท ผลตอบแทนโครงการ 38,872 ล้านบาท
          นายคณิศกล่าวว่า ส่วนโครงการที่ 3.โครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ได้เอกชนผู้ร่วมทุนกุมภาพันธ์ 2562 เปิดดำเนินการปลายปี 2566 เงินลงทุนโครงการท่าเรือเอฟ รวม 84,361 ล้านบาท ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 180,000 ล้านบาท ผลตอบแทนโครงการ 76,078 ล้านบาท และอนาคตจะเปิดท่าเรืออี โดยเอกชนจะลงทุนเพิ่มอีก 29,686 ล้านบาท รัฐไม่ต้องลงทุนเพิ่มแล้ว รวมเงินลงทุนท่าเรือเอฟและอี 114,047 ล้านบาท และ 4.โครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 เพิ่มขีดความสามารถและความจุในการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติและสินค้าเหลว กำหนดได้เอกชนผู้ร่วมทุนมกราคม 2562 เปิดดำเนินการต้นปี 2568 เงินลงทุนโครงการท่าเรือก๊าซ 47,900 ล้านบาท ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 85,300 ล้านบาท ผลตอบแทนโครงการ 47,357 ล้านบาท และอนาคตจะเปิดท่าเรือสินค้าเหลว และพื้นที่คลังสินค้า โดยเอกชนจะลงทุนเพิ่มอีก 7,500 ล้านบาท รัฐไม่ต้องลงทุนเพิ่มแล้ว รวมเงินลงทุนทั้งหมด 55,400 ล้านบาท
          นายคณิศกล่าวว่า การเดินหน้า 4 โครงการดำเนินการ ต่อจากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการแรกที่ได้ออกเอกสารคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนกับรัฐไปแล้ว เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2561 และกำหนดรับข้อเสนอเอกชนในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2561 โดยการลงทุนรวม 652,559 ล้านบาท ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อประเทศ 819,662 ล้านบาท และผลตอบแทนทางการเงินโครงการ 559,715 ล้านบาท นอกจากนี้ กพอ.ยังอนุมัติแผนพัฒนาโครงการแผนปฏิบัติการการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลระยะเวลา 5 ปี ตามข้อเสนอของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อรองรับอีอีซี
สรท.ชี้กระทบถ้าน้ำมันเกิน80ดอลล์ 
          น.ส.กัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก เปิดเผยว่า ระดับราคาน้ำมันโลกที่จะส่งผลเชิงบวกต่อการส่งออกไทย ต้องไม่เกิน 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพราะหากเกินกว่านี้ จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและต้นทุนการขนส่งสินค้าปรับสูงขึ้นทันที หากถึง 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล คงกระทบหนัก ซึ่งยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป ทั้งนี้ สรท.ประเมินราคาเฉลี่ยไว้ที่ 75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากปริมาณอุปทานในตลาดที่ลดลงของประเทศอิหร่านและเวเนซุเอลา รวมถึงการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐที่จะเริ่มมีผลในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2561 อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในช่วง 2-3 เดือนหน้า ซาอุดีอาระเบียอาจมีการเพิ่มปริมาณการผลิต เพื่อชดเชยอิหร่าน แต่ยังมีความกังวลว่าอาจจะเกิดอุปทานล้นตลาดได้ จากแนวโน้มอุปสงค์ตลาดในปีหน้า ที่อาจปรับลดลง เนื่องจาก ผลของสงครามการค้า
พณ.คาดน้ำมันไม่เกิน90เหรียญ
          น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงเรื่องราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นว่า เกิดจากการเก็งกำไรและผลต่อเนื่องจากการคว่ำบาตรอิหร่านเป็นหลัก โดยในชั้นนี้ คาดว่าราคาน้ำมันจะสูงกว่าตัวเลขที่ สนค.ใช้ในการประมาณการการส่งออกและเงินเฟ้อที่ระดับ 65-75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยอาจขึ้นอยู่ที่ 80-90 เหรียญ แต่คาดว่าจะไม่สูงถึง 100 เหรียญ เพราะสหรัฐมีท่าทีที่จะหาความร่วมมือกับประเทศผู้ผลิตน้ำมัน เพื่อหลีกเลี่ยงราคาน้ำมันที่สูงเกินไป อีกทั้งกลุ่มประเทศโอเปคอาจจะมีมาตรการเพิ่มเติม เช่น การผลิตทดแทนน้ำมันของอิหร่าน นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ร้อนแรง ทำให้ความต้องการใช้น้ำมัน ไม่เร่งตัวมากนัก

          "จากการคำนวณของ สนค.หากราคาน้ำมันขึ้นอยู่ที่ 80-90 เหรียญ ใน 4 เดือนที่เหลือปี 2561 จากช่วง 8 เดือนแรกราคาเฉลี่ย 69 เหรียญสหรัฐ จะทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 38-56% จากปีก่อน จะทำให้การส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันขยายตัว 26-36% และ ส่งผลต่อการส่งออกรวมประมาณ 2.6-3.6% อันจะสนับสนุนการส่งออกตามเป้าหมายที่ 9% ได้ง่ายขึ้น ซึ่งการส่งออก 9% จะต้องส่งออกเดือนที่เหลือเฉลี่ยโต 7.1%" น.ส.พิมพ์ชนก กล่าว
          น.ส.พิมพ์ชนกกล่าวว่า สำหรับผลต่อเงินเฟ้อหรือราคาผู้บริโภค สนค.ตั้งประมาณการเงินเฟ้อไว้ 0.8-1.6% แม้ว่าราคาน้ำมันขึ้นมาที่ 80-90 เหรียญ ก็จะยังไม่ทำให้หลุดกรอบนี้ อย่างไรก็ตาม อาจจะส่งผลให้ค่ากลาง 1.25% สูงขึ้นบ้าง แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะขึ้นเท่าไหร่ เพราะช่วงปลายปีจะมีสินค้าเกษตรออกสู่ตลาดมากขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลให้ราคาลดลง (ต้นทุนลด) ยกเว้นยางพาราที่ปกติ จะราคาสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน นอกจากนี้ ครม.ยังไม่เห็นชอบให้ขึ้นภาษีสรรพสามิตยาสูบ จึงยังไม่มีแรงกดดันให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในส่วนของบุหรี่
          น.ส.พิมพ์ชนกกล่าวต่อว่า สหรัฐน่าจะเพิ่ม แรงกดดันประเทศผู้ผลิตต่างๆ เพื่อหามาตรการดึงราคาน้ำมันให้ลง เพราะนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐกล่าวเสมอว่า สหรัฐไม่ต้องการให้ราคาน้ำมันแพงเกินไป เพราะจะกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยล่าสุดซาอุดีอาระเบียเริ่มให้ข่าวแล้วว่า พร้อมจะสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดน้ำมันโลก โดยอาจจะเพิ่มกำลังการผลิตในเดือนพฤศจิกายนนี้

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน ( 07 October 2018 )
ที่มา : http://www.reic.or.th/news/News_Detail.aspx?newsid=57536

ติดตามข่าวสาร บ้าน คอนโค ที่ดิน อสังหาฯ เเละอัพเดท ราคาบ้าน ราคาคอนโด เพื่อให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายเห็นภาพที่แท้จริงของตลาด และตัดสินใจได้ถูกต้อง ก่อนใครที่ ZmyHome
 
บทความอื่นๆ
  • ค้นหาบ้านคอนโด

    ต้องการซื้อ หรือเช่า บ้าน คอนโด ตรวจ สอบราคา เช็คค่าเช่า ติดต่อตรงกับเจ้า ของตัวจริง ทุกทำเล ทั่วประเทศ

    ค้นหา
  • ลงประกาศ

    ต้องการขาย หรือปล่อยเช่า บ้าน คอนโด เพียงคุณเป็นเจ้าของตัวจริง และพร้อมที่จะลงประกาศอย่างมีคุณภาพ เพื่อให้ผู้ซื้อศึกษา อย่างสะดวกที่สุด ก็ลงประกาศ ได้เลย

    ลงประกาศ