เลี่ยงผลกระทบ LTV ดึงสินเชื่อใหม่แผ่ว แบงก์รุกรีไฟแนนซ์บ้าน
นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจมหาภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เริ่มเห็นลูกค้าบางส่วนที่ทิ้งดาวน์มากขึ้น ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากมาตรการ LTV ของ ธปท. แต่ทั้งนี้ต้องถือว่าเป็นไปตามที่ ธปท. ได้คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว เนื่องจากมาตรการ LTV มีวัตถุประสงค์ เพื่อขจัดดีมานด์เทียม อย่างไรก็ตามภายหลังการใช้มาตรการดังกล่าว ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามใกล้ชิดว่า มาตรการเหล่านี้จะส่งผลกระทบมากน้อยเพียงใดโดยเชื่อว่าช่วง 3 เดือนแรกที่มาตรการมีผลบังคับใช้ ยังมีผลของการบิดเบือนในตลาดอสังหาริมทรัพย์พอสมควร เพราะก่อนมาตรการจะเริ่มใช้ จะเกิดการเร่งโอนกันมาก ดังนั้นก็ต้องติดตามดีมานด์และผลกระทบในระยะถัดไป เพื่อประเมินภาพรวมของมาตรการดังกล่าวอีกครั้งในระยะข้างหน้า
นายวีรวัฒน์ ปัณฑวังกูร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานบริหารกลยุทธ์และวิเคราะห์ข้อมูล Strategy and Analytics Division (STA) ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ภายหลังมาตรการ LTV มีผลบังคับใช้ ก็เริ่มเห็นดีมานด์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ชะลอลง ส่วนหนึ่งอาจเพราะก่อนหน้านี้มีการเร่งการโอนกันค่อนข้างมาก จึงคาดว่าช่วงไตรมาส 2 ยอดการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ น่าจะเติบโตชะลอลง เมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา
ส่วนผลของมาตรการ LTV หลัก ๆ แล้ว คงมีผลต่อผู้ซื้อบ้านใหม่ ดังนั้นธนาคารเตรียมปรับกลยุทธ์ โดยหันไปเร่งการเติบโตในด้านอื่น ๆ เช่น การเติบโตจากสินเชื่อรีไฟแนนซ์มากขึ้น เพื่อหนุนให้ยอดการเติบโตของสินเชื่อบ้านปีนี้ ยังเติบโตตามเป้าหมายที่เกินระดับ 10%
นายวีรวัฒน์ กล่าวว่า จากนี้ไปน่าจะเห็นการแข่งขันในธุรกิจรีไฟแนนซ์ค่อนข้างร้อนแรงมากขึ้น ในส่วนของธนาคารกสิกรไทย ก็เตรียมออกแคมเปญใหม่ ๆ เพื่อมากระตุ้นตลาดรีไฟแนนซ์
"ดีมานด์เริ่มชะลอตัว ตั้งแต่เม.ย.เป็นต้นมา ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว เพราะโดยปกติก่อนที่มาตรการอะไรจะมีผลบังคับใช้ ก็จะมีการเร่งก่อนหน้านั้น ดังนั้นก็คาดว่าไตรมาส 2 ยอดสินเชื่อ หรือดีมานด์การขอสินเชื่อก็น่าจะน้อยลงจากไตรมาสแรกที่สินเชื่อบ้านเติบโตราว 4% ซึ่งถือว่าเติบโตค่อนข้างมาก หากเทียบกับสินเชื่อคงค้างสิ้นปีก่อน และปีนี้เราก็ยังคาดว่า สินเชื่อบ้านน่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่คาดพอร์ตคงค้างอยู่ที่ 2.8 แสนล้านบาท เราก็ยังไม่ปรับเป้า แต่เราก็คงต้องไปรุกตัวรีไฟแนนซ์มากขึ้น ชดเชยดีมานด์บ้านใหม่ที่ลดลง"
ด้านนายณัฐพล ลือพร้อมชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานสินเชื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ภาพรวมสินเชื่อบ้านไตรมาส 2 คงชะลอตัวจากการเร่งโอน ก่อนที่มาตรการจะมีผลบังคับใช้ ดังนั้น ต้องติดตามดีมานด์ในระยะถัดไปว่าผลกระทบกระทบมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะยอดการทิ้งดาวน์ที่ขณะนี้ยังไม่ชัดเจน เพราะยังมีเอฟเฟคท์จากมาตรการกำกับสินเชื่ออยู่ ดังนั้นต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 1 ไตรมาส หรือราวไตรมาส 3 ถึงจะเห็นภาพดีมานด์หรือการโอนที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าที่มีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์รอบนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการรอความชัดเจนจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ของภาครัฐด้วยว่าจะมีหรือไม่ หลังมีกระแสข่าวว่าก่อนหน้าจะมีมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน การจดจำนอง อสังหาฯต่าง ๆ ทำให้ผู้ซื้อตัดสินใจชะลอการซื้อและการโอนในระยะนี้ออกไปด้วย "ความกังวลจากภาวะเศรษฐกิจมีสูง จากความไม่แน่นอนต่างๆ และคนบางส่วน ก็รอดูมาตรการของภาครัฐรอบใหม่ ที่มีการพูดถึงก่อนหน้านี้ว่า จะมีมาตรการลดค่าธรรมเนียม ค่าจดจำนองต่าง ๆ ดังนั้นผู้โอนใหม่ที่จะโอนในขณะนี้ ก็ชะลอออกไป ซึ่งเชื่อว่าอันนี้มีผลมากกว่ามาตรการของธปท. ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือรอความชัดเจนต่อไป" นายณัฐพลกล่าว
นางศศิธร พงศธร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LHBANK กล่าวว่า ทิศทางสินเชื่อบ้านของธนาคารในปีนี้ ยังคงประคองตัวไม่ให้ยอดสินเชื่อบ้านลดจากปีก่อนที่มียอดสินเชื่อบ้านคงค้างอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เติบโต 10% ขณะที่สินเชื่อภาพรวมเติบโต 6-8% โดยหันมาเน้นการแข่งขันตลาดสินเชื่อรีไฟแนนซ์ เลี่ยงการปล่อยสินเชื่อบ้านใหม่
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์, หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ