ตลาดคอนโดฯพัทยายังเติบโต แรงซื้อต่างชาติหนุนลงทุนใหม่
นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพัทยาซึ่งเป็นหัวเมืองท่องเที่ยวว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2558-2561) ซัพพลาย(อุปทาน)มีค่อนข้างน้อย แต่เป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯมากที่สุด และยังอยู่ในพื้นที่ของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ที่รัฐบาลได้เร่งรัดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง หากซื้อเพื่อปล่อยเช่าจะได้ผลตอบแทนปีละ 7-8% โดยนักลงทุนที่เข้าไปซื้ออสังหาฯพัทยา จะแบ่งเป็นคนไทยและต่างชาติในสัดส่วนที่เท่ากัน คือ 50:50 ซึ่งชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อเพื่อการลงทุนมากที่สุดคือ จีน สัดส่วน 60-70% รองลงมาเป็น สิงคโปร์ ฮ่องกง อินเดีย และตะวันออกกลาง
อย่างไรก็ตาม ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 5 เดือนในพัทยา เริ่มเห็นซัพพลายใหม่เข้ามาในตลาดมากถึง 5-8 โครงการ และส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดใหญ่ แต่ละอาคารมีความสูงตั้งแต่ 50-60 ชั้น รวมประมาณ 1,500-2,000 ยูนิต ในจำนวนดังกล่าวเป็นการพัฒนาโดยนักลงทุนชาวต่างชาติถึง 70-80% ส่วนใหญ่เป็นชาวอิสราเอล ยุโรป และจีน ที่เน้นขายชาวต่างชาติด้วยกัน ซึ่งได้รับการตอบรับดี แต่ในส่วนการขายที่เป็นโควตาสำหรับคนไทยจะไม่ค่อยมียอดขายมากนัก คาดว่าต้องใช้เวลาในการระบายสินค้าออกไปอย่างน้อย 2-3 ปี
สำหรับทิศทางการลงทุนของบริษัทฯในครึ่งหลังของปี 62 นั้น วางเป้าหมายเปิดอย่างน้อย 3 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดฯระดับลักชัวรีในย่านสุขุมวิท 2 โครงการ ภายใต้แบรนด์ "วาลเด้น" (Walden) รวมมูลค่า 3,000 ล้านบาท แต่ละโครงการจะมีจำนวนประมาณกว่า 100 ยูนิต ขนาดตั้งแต่ 35-60 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ 6.9-14 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยที่ 2-3 แสนบาทต่อ ตร.ม. โดยทั้ง 2 โครงการดังกล่าว บริษัทฯได้ร่วมทุนกับพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น ในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ด้วยการก่อตั้งบริษัทฯใหม่ขึ้นมาพัฒนา พร้อมกับมีพันธมิตรจากญี่ปุ่นอีกราย เข้ามาบริหารจัดการโครงการและทำการตลาดโครงการในกรุงเทพฯ ด้วยการหาลูกค้าต่างชาติในประเทศใหม่ ๆ ที่บริษัทฯยังไม่เคยเข้าไปทำการตลาดด้วย คาดว่าจะเปิดตัวได้ในไตรมาส 3/2562 นี้ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
ดูรายละเอียดโครงการแบรนด์ Walden ที่เปิดตัวแล้ว >> Walden อโศก, Walden สุขมวิท 39
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูสย่านจอมเทียน อีก 1 โครงการ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 8 ไร่เศษ ประกอบด้วยคอนโดฯโลว์ไรส์-ไฮไรส์ และโรงแรมระดับ 5 ดาวขึ้นไป มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยจะใช้แบรนด์ใหม่ เนื่องจากจะเป็นเชนใหม่จากสหรัฐฯเข้ามาบริหารโครงการ
ในส่วนของเป้ายอดขายในปีนี้ วางไว้ 3,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่มีตัวเลขสูงถึง 1,000 ล้านบาท จากปี 2561 ที่มียอดขาย 2,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้เพียง 300 ล้านบาท เนื่องจากในปี 61 บริษัทมีการโอนห้องชุดในโครงการน้อย แต่จะมีอัตราเร่งในการโอนในช่วงปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปี 2564
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์, หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน 360 องศา