• 1 ต.ค. 2562

“สิงห์เอสเตท”สบช่องบาทแข็ง เดินเกมซื้อโรงแรมเอเชีย-ยุโรป

            "สิงห์เอสเตท" ดัน "SHR" ขยายพอร์ตโรงแรม 80 แห่งทั่วโลก โตดับเบิลในปี 2568 สบช่องบาทแข็ง เร่งสปีดแผนซื้อกิจการโรงแรมทั่วเอเชียแปซิฟิก-ยุโรป

            นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากปี 2562 เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวรายได้ ทิศทางต่อไปในปี 2563 จะเป็นปีแห่งการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จากทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ โรงแรม ที่อยู่อาศัย และอาคารสำนักงานกับพื้นที่ค้าปลีก

            เมื่อดูเฉพาะกลุ่มโรงแรม ซึ่งอยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทลูก อย่าง เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) และมีแผนจะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เดือน พ.ย.นี้ คาดว่าปีนี้จะเห็นรายได้แบบเต็มปีจากการเข้าซื้อโรงแรมเอาท์ริกเกอร์ 6 โรงแรมใน 4 ประเทศ เมื่อเดือน มิ.ย. 2561 และการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน หรือมิกซ์ยูสระดับเมกะโปรเจคชื่อ "ครอสโรดส์" ที่มัลดีฟส์ ถือเป็นโครงการลงทุนต่างประเทศใหญ่ที่สุดของบริษัทฯ เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อกลางเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา มี 2 โรงแรมให้บริการซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้กว่า 2,000 ล้านบาทต่อปี

            "ในช่วงเงินบาทแข็งค่า มองว่าเป็นจังหวะดีที่ต้องเร่งสปีดในการเก็บเกี่ยวดีลซื้อกิจการโรงแรมในต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยมองการเข้าซื้อกิจการแบบทั้งกรุ๊ป เพราะทำให้ธุรกิจโตเร็ว เน้นโรงแรมระดับ 3.5-4 ดาว ทั้งในเอเชียแปซิฟิกและยุโรป"
 
ภาพจาก www.singhaestate.co.th

            ขณะที่ภายในปี 2568 SHR ตั้งเป้าขยายจำนวนโรงแรมและห้องพัก เติบโต 2 เท่า จากปัจจุบันมี 39 โรงแรม เป็น 80 โรงแรมทั้งในไทยและ ต่างประเทศ ผ่าน 4 รูปแบบ ได้แก่ 1.โรงแรมที่เป็นเจ้าของและบริหารเอง 2.โรงแรมที่บริหารผ่าน Franchise Agreement กับแบรนด์ระดับโลก 3.โรงแรมที่บริหารผ่านสัญญาบริหารจัดการโรงแรม และ 4.โรงแรมที่บริหารผ่านแบรนด์ที่ SHR สร้างขึ้นมาเอง ขณะนี้มีแล้ว 1 แบรนด์ คือ SAii เปิดที่มัลดีฟ์เป็นแห่งแรก และอีก 1 แบรนด์อยู่ระหว่างการพัฒนา

            "คาดว่า ในปี 2568 จะทำให้ SHR มีรายได้เติบโต 3 เท่าจากปัจจุบัน และทำให้สัดส่วนรายได้จากกลุ่ม โรงแรมมีมากกว่า 50% ของรายได้ สิงห์เอสเตททั้งหมด"

            นายเดิร์ก เดอ ไคย์เปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SHR กล่าวเสริมว่า จากการรุกขยายธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ คาดว่าในปี 2568 สัดส่วนจะเพิ่มเป็น 70-75% จากปัจจุบันอยู่ที่ 60% ขณะที่โรงแรมในไทย สัดส่วนจะลดลงมาอยู่ที่ 25-30% ทั้งนี้มองว่าปี 2562 กลุ่มธุรกิจโรงแรมจะมีรายได้ประมาณ 4,000 ล้านบาท

            นายนริศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านกลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก บริษัทฯมีแผนพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสใหม่ ภายใต้ชื่อ "เอส โอเอสซิส" บนถนนวิภาวดี-รังสิต มูลค่า 3,695 ล้านบาท ความสูง 36 ชั้น มีพื้นที่ให้เช่า (NLA) ประมาณ 53,000 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นพื้นที่สำนักงาน และพื้นที่ค้าปลีกบางส่วน ซึ่งจะใช้เวลาในการพัฒนาโครงการประมาณ 3 ปี โดยได้เริ่มการก่อสร้างในปีนี้

            สำหรับแผนงานระยะยาว บริษัทฯ คาดการณ์งบลงทุนในการขยายธุรกิจคอมเมอร์เชียลไว้ประมาณ 15,000 ล้านบาทสำหรับ 4 ปี (ระหว่างปี 2562- 2566) ส่วนกลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย บริษัทฯมียอดขายที่รอรับรู้รายได้จาก การโอน (Backlog) ของคอนโดมิเนียม มูลค่า 4,400 ล้านบาท จากโครงการ The ESSE Asoke และ The ESSE at SINGHA COMPLEX


ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
บทความอื่นๆ
  • ค้นหาบ้านคอนโด

    ต้องการซื้อ หรือเช่า บ้าน คอนโด ตรวจ สอบราคา เช็คค่าเช่า ติดต่อตรงกับเจ้า ของตัวจริง ทุกทำเล ทั่วประเทศ

    ค้นหา
  • ลงประกาศ

    ต้องการขาย หรือปล่อยเช่า บ้าน คอนโด เพียงคุณเป็นเจ้าของตัวจริง และพร้อมที่จะลงประกาศอย่างมีคุณภาพ เพื่อให้ผู้ซื้อศึกษา อย่างสะดวกที่สุด ก็ลงประกาศ ได้เลย

    ลงประกาศ