แกรนด์แอสเสทผนึกซูมิโตโม ผุดคอนโดบริการแบบโฮเทล
นายวิทวัส วิภากุล กรรมการผู้จัดการ และกรรมการบริหาร บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ในเครือพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดเผยถึงทิศทางอสังหาริมทรัพย์ในไทยว่า ยังต้องเผชิญกับอุปสรรค ตั้งแต่สงครามการค้า การประท้วงยือเยื้อในฮ่องกง ตลอดจนการคุมเข้มสินเชื่อ (แอลทีวี) ทำให้บริษัทต้องวางแผนด้วยความระมัดระวัง ปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ทำให้ต้องทบทวนโครงการที่จะเปิดในปี 2563 โดยที่จะเปิดตัวชัดเจนคือ โครงการมิกซ์ยูส ที่ จ.ระยอง ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม โรงแรม และวิลล่า มูลค่า 4,000 ล้านบาท
ล่าสุดได้ร่วมทุนกับซูมิโตโม ฟอเรสทรี จำกัด เปิดตัวโครงการ "ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ" โดยซูมิโตโมฯ ถือหุ้น 49% และแกรนด์ แอสเสทฯ ถือหุ้น 51%โดยมูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท เนื้อที่ 2 ไร่ 2 งาน 18 ตารางวา(ตร.ว.) คอนโดมิเนียมความสูง 45 ชั้น ราคาเริ่มต้นที่ยูนิตละ 9.6 ล้านบาท หรือราคา 2.6 แสนตร.ม.
สำหรับรูปแบบการพัฒนาการบริหาร จะมุ่งเน้นการบริการแบบโฮเทล ไฮบริด โดยมุ่งเน้นการผนึกประสบการณ์ การบริหารจัดการโรงแรมในเครือของ กลุ่มธุรกิจที่มี 7 แห่ง กว่า 2,000 ห้อง อาทิ เวสทิน แกรนด์ สุขุวิท, ไฮแอท รีเจนซี่ แบงค็อก สุขุมวิท, รอยัล ออคิด เชอราตัน เป็นต้น เพื่อเพิ่มการบริหารที่แตกต่าง เช่น การต้อนรับ 24 ชม., การสำรองร้านอาหาร, สปา, ร้านเสริมสวย และพื้นที่ประชุมภายใน ตลอดจนการบริการประสานงาน Limousine Service เป็นต้น
ด้านนายอะซึฮิสะ โอกูระ กรรมการ บริษัท ซูมิโตโม ฟอเรสทรี จำกัด ธุรกิจหลักในกลุ่มบริษัทซูมิโตโม กรุ๊ป (Sumitomo Group) มีอายุ 300 ปี มีธุรกิจครอบคลุมตั้งแต่ ธุรกิจที่อยู่อาศัย วัสดุก่อสร้าง ธุรกิจป่าไม้ มีศูนย์วิจัยและโรงงานครบวงจร เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ท็อป 5 ของญี่ปุ่น ท็อป 5 ในออสเตรเลีย และท็อป 10 ในอเมริกา
โดยในภูมิภาคเอเชีย ซูมิโตโมฯ ได้พัฒนาอสังหาฯระดับลักชัวรี่ในจีน ฮ่องกง อินโดนิเซีย เวียดนาม รวมถึงไทย ที่ได้เข้ามาร่วมทุน กล่าวว่า ท่ามกลางอสังหาริมทรัพย์ไทยอยู่ในช่วงขาลง กลุ่มธุรกิจก็ยังลงทุนต่อเนื่อง เพราะมีการวางแผนการทำธุรกิจในประเทศไทยในระยะยาว โดยมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบโครงการที่มุ่งเน้นคุณภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่ม ไฮเอ็นด์ หรือ ลักชัวรี่
ทั้งนี้ตลาดต่างประเทศ ยังถือว่ามีโอกาสและยังเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งกลุ่มธุรกิจมีสำนักงานตัวแทนขายกระจายในประเทศเหล่านี้ และยังมีการจัดอีเวนท์และโรดโชว์เข้าไปรุกทำการตลาดใน จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น และฮ่องกง ถือว่าเป็นการใช้วิกฤติในฮ่องกงให้เป็นโอกาส ซึ่งมีลูกค้าหลายรายสนใจเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย โดยเปิดโครงการตั้งแต่เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 30% คาดว่าจะปิดโครงการได้ภายในกลางปี 2564
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ, ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์