FPT ลุยโครงการ‘สีลมเอจ’ ชูคอนเซ็ปต์สังคมแซนด์บ็อกซ์ใจกลางกรุง
นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Country CEO) บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ “FPT” กล่าวว่า หลังจากประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีกับโครงการสามย่านมิตรทาวน์ ล่าสุดบริษัทได้ใช้งบลงทุนคิดเป็นมูลค่ากว่า 1,800 ล้านบาท ในการเดินหน้าพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสภายใต้ชื่อ “สีลมเอจ” (Silom Edge) ซึ่งเป็นโครงการ Re-development บริเวณหัวมุมถนนสีลม–พระราม 4 ภายในโครงการประกอบไปด้วยพื้นที่ 2 โซนหลัก คือ โซนอาคารสำนักงาน เริ่มตั้งแต่ชั้น 10-21 และโซนพื้นที่ค้าปลีก
ทั้งนี้ เหตุผลที่บริษัทเลือกพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสแห่งใหม่บริเวณหัวมุมถนนสีลม-พระราม 4 เนื่องจากทำเลดังกล่าวถือเป็นสุดยอดทำเลใจกลาง CBD ที่สามารถเดินทางเชื่อมต่อได้ทั้งรถไฟฟ้า BTS และ MRT นอกจากนี้ ยังเคยเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของกรุงเทพฯ และเป็นที่ตั้งของบริษัทชั้นนำหลายแห่งในประเทศไทย จึงทำให้ถนนสีลมเป็นหนึ่งในถนนเศรษฐกิจสายสำคัญของกรุงเทพฯ
ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาที่ดินในย่านดังกล่าวก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัจจุบันไม่มีแลนด์แบงก์มากพอที่จะพัฒนาโครงการใหม่ และเมื่อมีโอกาสบริษัทฯ จึงตัดสินใจเข้าลงทุน เป็นเจ้าของในทรัพย์สินนี้เมื่อช่วงต้นปี 2564 ที่ผ่านมา
นายธนพล กล่าวต่อว่า การลงทุนโครงการมิกซ์ยูสถือเป็นการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับกลยุทธ์การสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่องค์กร โดยโครงการ “สีลมเอจ” ถือเป็นโครงการ Re-development แห่งแรกของบริษัทที่จะเข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่ง และกระจายความเสี่ยงให้กับองค์กร
ขณะเดียวกัน ยังถือเป็นการเพิ่มสัดส่วนของรายได้ประจำ (Recurring Income) ให้กับพอร์ตฯคอมเมอร์เชียล ซึ่งหลังจากโครงการ “สีลมเอจ” เปิดให้บริการในช่วงเดือนกันยายน 2565 บริษัทฯ คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 เนื่องจากเป็นโครงการที่มีจุดเด่นในหลายด้าน ไม่ว่าจะทำเลที่ตั้ง หรือคอนเซ็ปต์ที่มีการปฎิวัติรูปแบบการพัฒนาอาคารแบบเดิมๆ ด้วยการคิดนอกกรอบ จนทำให้เกิดคอนเซ็ปต์แหวกแนวภายใต้ชื่อ “The New Sandbox Community in CBD” หรือการสร้างสังคมแซนด์บ็อกซ์ใจกลางกรุงเทพฯ
สำหรับกลุ่มเป้าหมายของโครงการ “สีลมเอจ” จะเน้นไปที่กลุ่ม New Gen ในยุคดิจิทัล ผู้ประกอบการในกลุ่ม Start-Up และแพลตฟอร์มออนไลน์ เนื่องจากเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีการเติบโตทางธุรกิจอย่างก้าวกระโดดในช่วงที่ผ่านมา ภายหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พฤติกรรมของผู้บริโภคก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คือ หันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น
จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบการบนโลกออนไลน์เริ่มเห็นความจำเป็นในการขยายช่องทางการเข้าถึงลูกค้าบนโลกออฟไลน์ ซึ่งการมีออฟฟิศหรือร้านค้าบนทำเลใจกลางกรุงเทพฯที่เดินทางสะดวก ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสร้างแต้มต่อในการแข่งขันทางธุรกิจ
ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจโดยการสร้างความแตกต่างทางธุรกิจภายใต้แนวคิด “BE DIFFERENT และ BE CONNECTED” เพื่อเชื่อมโยงผู้คนในทุกมิติอย่างลงตัว โดยในส่วนของ BE DIFFERENT จะประกอบไปด้วย
- SPACE & CONTRACT AS A SERVICE ทำลายทุกขีดจำกัดของอาคารสำนักงานทั่วไป ด้วยข้อเสนอและบริการที่ปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งานของแต่ละธุรกิจ
- CREATE A SANDBOX PLATFORM TO UNLEASH THE MAXIMUM POTENTIAL สร้างแพลตฟอร์มแซนด์บ็อกซ์ปลดปล่อยศักยภาพสูงสุดทางธุรกิจ
- EXTENDED OPERATION HOURS FOR DIGITALIZING LIFE อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เช่าและผู้ใช้บริการในทุกช่วงเวลา ตอบโจทย์การทำงานยุคดิจิทัลที่ไม่หยุดนิ่ง
- O2O2O READY รองรับทุกการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจได้อย่างคล่องตัว พร้อมสนับสนุนทุกบริษัทให้เติบโตผ่านการผสานธุรกิจจากออนไลน์ไปสู่ออฟไลน์
- CONQUER THE WORK-LIFE INTEGRATION เชื่อมรูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตให้เป็นหนึ่งเดียวด้วยพื้นที่ที่ตอบโจทย์ในทุกมิติตลอดวัน
- EXTREMELY CONVENIENT LOCATION โครงการเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าทั้ง BTS และ MRT ทำให้การเดินทางสะดวกและรวดเร็ว
- OPEN TO CRYPTO & CASHLESS SOCIETY พร้อมเปิดรับชำระเงินดิจิทัลด้วยคริปโตฯ และการทำธุรกรรมการเงินผ่านช่องทางออนไลน์
- REDEFINE ENDLESS BUSINESS OPPORTUNITIES สร้างนิยามใหม่สู่โอกาสทางธุรกิจที่ไม่สิ้นสุด
ที่มา : samyan-mitrtown.com