5 ข้อคิดพิชิตคำขู่เรื่องฮวงจุ้ย
ฮวงจุ้ยเป็นศาสตร์โบราณ ชีวิตเราอยู่ในยุคใหม่ ฮวงจุ้ยเป็นศาตร์ที่มีอายุหลายพันปี เป็นคำอธิบายโดยคร่าวรูปแบบหนึ่งที่มุ่งอธิบายธรรมชาติที่สัมพันธ์กับชีวิตมนุษย์ในยุคก่อนวิทยาศาสตร์ วิธีอธิบายย่อมต่างจากระบบการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ไม่มีสถิติ ไม่มีเหตุผลชัดเจน เหตุผลชัดเจนที่เราได้ยินกันในศาสตร์ฮวงจุ้ยเพิ่งมาแต่งเติมกันในยุคหลังเพื่อให้ถูกจริตผู้ฟัง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าหลายความเชื่อก็สอดคล้องกับหลักการออกแบบที่ถูกที่ควรอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นอะไรในหลักฮวงจุ้ยที่สอดคล้องตามหลักการออกแบบ เมื่ออธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ก็ดูดี อธิบายด้วยหลักฮวงจุ้ยก็ดูขลัง แต่วิถีชีวิตของคนเมื่อร้อยปีที่ผ่านมา พลิกผันจากเดิมไปมาก เพราะฉะนั้นข้อยึดถือในการดำรงชีวิตของคนสมัยก่อน ไม่ใช่จะต้องบังคับใช้กับคนสมัยนี้ได้ทุกอย่าง สุดท้ายคนที่ทำตามฮวงจุ้ยได้ทุกประการ เลยเหลือแต่คนที่มีฐานะฝืนคุณภาพชีวิตพื้นฐานของคนทั่วไป ภาพลักษณ์ของสังคมที่มีความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยจึงดูเหมือนยิ่งเชื่อเยอะยิ่งรวย ทั้งๆที่ความเป็นจริงคือ ยิ่งรวยยิ่งเชื่อเยอะ(ได้)
ฮวงจุ้ยไม่มีการคัดกรองจึงมีมากมายหลากหลาย(จนมึน) วิทยาศาสตร์และศาสตร์การออกแบบ มีการคัดกรองด้วยการพิสูจน์ ด้วยสถิติ หรือไม่ก็ด้วยการหักล้างจากทฤษฎีอื่น และทำโดยคนในหรือนอกวงการก็ได้ ทำให้หลักการออกแบบมีข้อสรุปที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และทำในขอบเขตที่ทำได้เท่านั้น หลักการออกแบบจึงไม่สามารถโม้ได้ว่าทำแบบนี้แบบนั้นแล้วจะรวย หรือสุขภาพแข็งแรง นอกจากทำให้บ้านประหยัดพลังงาน ประหยัดไฟ หรือไม่มีสารที่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ การถ่ายเทอากาศดี ในทางตรงกันข้าม ฮวงจุ้ยไม่มีกระบวนการคัดกรองโดยคนอื่น ส่วนคนในวงการก็ไม่มีใครหักล้างใครได้จริง ความเชื่อจึงงอกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งแต่ละตำราก็ขัดแย้งกันเอง ทำเอาเราตัดสินใจไม่ได้ต้องไปพึ่งพานักดูฮวงจุ้ย(ซึ่งดูหลายคนก็ได้หลายคำตอบอีก) อันเป็นธรรมชาติของสิ่งที่ไม่เคยโดนคัดกรอง สิ่งเดียวที่คัดกรองฮวงจุ้ยตลอดมาคือความเป็นไปได้ของผู้คนที่จะทำตามหลักฮวงจุ้ย อะไรที่เป็นไปไม่ได้เกินเหตุเท่านั้นถึงถูกตัดทิ้งไป
ฮวงจุ้ยยิ่งเผยแพร่ยิ่งเน้นคำพูดที่เรียกร้องความสนใจ ทั้งหมดเป็นธรรมชาติของการสื่อสาร ที่จริงแม้แต่เนื้อหาวิทยาศาสตร์ที่แพร่หลายกันอยู่ทุกวันนี้ บางทีทั้งๆที่เป็นแค่สมมติฐานอยู่ หรือไม่ก็เป็นแค่สถิติส่วนหนึ่ง แต่พอสื่อสารต่อไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องตายตัวและขาวดำชัดเจนมากขึ้น คำพูดก็ยิ่งสั้น กระชับและแรงขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยไม่มีการคัดกรองหรือคัดให้ตกรอบ แล้วยังต้องการแข่งขันเน้นความสำคัญ เลยยิ่งพยายามตัดปัจจัยอื่นๆไปหมด ก็ทำให้ข้อสรุปเกินความเป็นจริงไปกันใหญ่
อ.ฮวงจุ้ยไม่เคยต้องรับผิดชอบชีวิตของเรา แต่เจ้าของโครงการและผู้ออกแบบต้องรับผิดชอบ เจ้าของโครงการหรือผู้ออกแบบจะเป็นคนที่โดนบ่นโดนว่า หากทำบ้านพักอาศัยของเราไม่เหมาะสม เพราะฉะนั้นด้วยระบบนี้จะทำให้พวกเขาต้องพัฒนาสิ่งที่เขาต้องทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องความปลอดภัยต่อการใช้งานความรับผิดชอบก็ยังครอบคลุมจากกฎหมายด้วย ส่วนหมอดูฮวงจุ้ยและความเชื่อต่างๆที่เราเลือกเชื่อไม่มีใครต้องมารองรับคำบ่นหรือรับผิดชอบทางกฎหมายใดๆ จึงลอยตัวได้ตลอดเวลา แม้ว่าจะทำแล้วไม่ได้ผลอะไรเกิดขึ้นก็ตาม
แม้แต่ในวิชาฮวงจุ้ยเอง ก็บอกว่าฮวงจุ้ยไม่ใช่ทั้งหมด ในศาตร์ของการใช้ชีวิตของจีนที่ฮวงจุ้ยกล่าวอ้างก็ยังบอกไว้ว่า ชีวิตคนจะรุ่งเรืองหรือตกอับได้ก็ด้วยสามปัจจัย คือ คนทำ ฟ้ากำหนด และสภาพแวดล้อม(หากไม่ตีความเข้าข้างศาสตร์ฮวงจุ้ย ฮวงจุ้ยก็ยังเป็นแค่หนึ่งในหัวข้อนี้อีกที) เมื่อปัจจัยทั้งสามถึงพร้อม ความเฮง ความสำเร็จก็จะมาถึง แค่สิ่งใดสิ่งหนึ่งพร้อมไม่ได้การันตีความสำเร็จใดๆ จุดนี้ยังทำให้หมอดูฮวงจุ้ยอ้างได้ว่า ที่ทำตามแล้วไม่สำเร็จก็เป็นเพราะปัจจัยอื่น(ไง)
ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยเป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่ปัญหาที่เราเจอกันทุกวันนี้คือความเชื่อของบุคคลอื่นดันมาทำให้เราเกร็ง(และ)กลัวจนหลายครั้งต้องตัดสินใจอะไรที่ไม่สะดวกต่อตัวเราลงไป ถ้ามันไม่ทำให้ชีวิตลำบากเสียหายหรือเสียทรัพย์เกินเหตุเราก็อาจจะได้ความสบายใจมาแทน แต่ถ้ามันเป็นความเชื่อของคนอื่นที่ยัดเยียดให้เรามาด้วยการอ้างแค่คำว่า “ฮวงจุ้ยบอกว่า….” ก็หวังว่าข้อคิดเหล่านี้จะทำให้ความเชื่อของเราสมดุลมากขึ้น โดยไม่ต้องห่อเหี่ยวเมื่อไม่ได้ทำตาม “ฮวงจุ้ยบอกว่า…” เพราะความเกร็ง กลัวและห่อเหี่ยว มีผลต่อชีวิตเรามากกว่าฮวงจุ้ยเสียอีก
จากใจ
ZmyHome
กดแชร์เป็นกำลังใจให้ทีมงานด้วยครับ