ซื้อคอนโดให้ญี่ปุ่นเช่า ซื้อ 1 หรือ 2 ห้องนอนดี?
คนที่อยากลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมคนญี่ปุ่นเช่ามักมีคำถามว่า ควรซื้อแบบ 1 ห้องนอน หรือ 2 ห้องนอนดี ในความเป็นจริงแล้วความต้องการเช่าของชาวญี่ปุ่นมีทั้ง 2 แบบ แต่โดยภาพรวมผลตอบแทนต่อตารางเมตรของห้องแบบ 1 ห้องนอนจะดีกว่าแบบ 2 ห้องนอนประมมาณ 10%-20% ขึ้นอยู่กับโครงการและคุณภาพของห้อง ZmyHome มีข้อมูลมาเล่าให้ฟังครับ
คอนโดแบบ 1 ห้องนอน ผู้บริหารญี่ปุ่นที่เช่าคอนโดแบบหนึ่งห้องนอน ส่วนใหญ่จะพักอาศัยคนเดียว ดังนั้นสิ่งที่ผู้บริหารเหล่านี้คำนึงถึง อันดับแรก มักเป็นเรื่องความสะดวกในการเดินทางไปทำงาน บางบริษัทอาจให้พนักงานแชร์รถกัน ดังนั้นพนักงานก็มักจะเลือกพักในคอนโดที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักของผู้ที่อยู่อาศัยมาก่อนมากนัก ทำเลที่ใกล้รถไฟฟ้า ก็อาจจะทำให้ผู้เช่าญี่ปุ่นมีความสะดวกมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากบริษัทที่ทำงานตั้งอยู่ในเมือง กลุ่มลูกค้าเหล่านี้อาจชอบโครงการที่ไม่เก่ามากนัก เพราะบรรยากาศดี และมีปัญหาซ่อมแซมน้อยกว่า ห้องอาจจะไม่ต้องใหญ่มาก แต่ก็อย่าเล็กจนเกินไป ห้องชุดขนาด 20-30 ตร.ม. ขอให้หลีกเลี่ยง เพราะเล็กเกินไป อาจจะผู้เช่าญี่ปุ่นที่ไม่ใช่ Expat และมีงบน้อย ขนาดที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 40-50 ตร.ม. สำหรับคอนโดแบบ 1 ห้องนอน
ข้อดี ความต้องการสูงกว่า เพราะผู้เช่าชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักพักอาศันคนเดียว ซึ่งบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า Expat ที่มาทั้งครอบครัว ค่าเช่าต่อตารางเมตรสูงกว่า เพราะหลายๆ บริษัท เตรียมงบไว้สำหรับเซอร์วิสอพาร์ตทเมนท์ เพื่อให้ผู้บริหารมีความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย แต่เจ้าของให้อาจต้องเพิ่มบริการต่างๆ ให้ผู้เช่าด้วย เช่น เคเบิลทีวีญี่ปุ่น อินเตอร์เน็ต เครื่องกรองน้ำ แม่บ้านทำความสะอาดอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง ค่าสาธารณูปโภค
ข้อควรระวัง การซื้อคอนโด 1 ห้องนอนเพื่อปล่อยเช่ากับชาวญี่ปุ่น อาจต้องมีแม่บ้านให้ เพราะส่วนใหญ่เป็นคนโสด ทำงานหนัก เลยต้องการคนช่วยทำความสะอาดบ้าน คอนโดที่เปิดตัวใหม่ส่วนใหญ่มักเป็น 1 ห้องนอน ซึ่งการแข่งขันก็จะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะหากโครงการเราอยู่ในทำเลที่ไม่ดี
คอนโดแบบ 2 ห้องนอน ผู้บริหารญี่ปุ่นที่เช่าคอนโด 2 ห้องนอน ส่วนมากจะเป็นพักอาศัยเป็นครอบครัว และบริษัทจะให้งบสูงกว่าผู้บริหารที่พักอาศัยอยู่คนเดียวเล็กน้อย และแน่นอน เมื่อมาพักกันเป็นครอบครัว แปลว่าผู้เช่ามักจะมีภรรยาและลูกมาด้วย ดังนั้นสิ่งสำคัญในการเลือกที่พักของผู้บริหารญี่ปุ่นที่พักเป็นครอบครัว และแน่นอน สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ ทำเลที่รถโรงเรียนญี่ปุ่นวิ่งผ่าน ซึ่งจะอยู่ระหว่างย่านอโศก-เอกมัย
นอกจากนี้แล้วกลุ่มผู้เช่าที่เป็นครอบครัวจะชอบโครงการที่อยู่ใกล้ ฟูจิซุปเปอร์มาร์เก็ต ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม ฯลฯ เนื่องจากสะดวกสำหรับแม่บ้านที่จะไปซื้อกับข้าวมาประกอบอาหาร เพราะอาจจะไม่มีรถใช้ระหว่างวัน และครอบครัวที่มีเด็ก ก็มักจะต้องการโครงการที่มี Facilities ให้เด็กๆ ได้วิ่งเล่นด้วย
ดังนั้น ห้อง 2 ห้องนอน ในโครงการที่มีพื้นที่ หรือ facilities จำกัด ก็อาจจะมีจุดด้อย เมื่อผู้เช่าเปรียบเทียบกับโครงการอื่น สำหรับครอบครัวที่มีลูกเล็ก ผู้เช่ามักจะชอบคอนโดที่ไปโรงพยาบาลสะดวกด้วย เช่น รพ.สมิติเวช เป็นต้น เพราะมีแผนกที่ดูแลลูกค้าญี่ปุ่นโดยเฉพาะ
ข้อดี จำนวนอุปทานมีเพียง 30%-40% ของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องที่มีขนาดที่เหมาะสมสำหรับครอบครัว 80-100 ตร.ม. ขึ้นไป ห้องแบบ 2 ห้องนอน ส่วนใหญ่มักตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ดี เช่น เป็นห้องมุม วิวสวน เป็นต้น ซึ่งเหมาะกับการลงทุนระยะยาว
ข้อเสีย ผลตอบแทนต่ำกว่าห้อง 1 ห้องนอน เพราะห้องประเภทนี้บริษัทมักจัดให้ชาวญี่ปุ่นที่มีแม่บ้านมาด้วย ดังนั้นงบประมาณ (หากคิดต่อพื้นที่เป็นตารางเมตร) มักต่ำกว่าห้องแบบ 1 ห้องนอน ครอบครัวที่มีเด็ก อาจจะทำให้ห้องทรุดโทรมได้ง่าย โดยจุดที่จะเสียหายบ่อยจะเป็นพวกพื้นไม้ เฟอร์นิเจอร์ไม้ หรือกำแพงที่อาจะจะถูกขีดเขียน ซึ่งหากเราอยากจะป้องกันไว้ตั้งแต่ต้น อาจเลือกพื้นที่เป็น Granito แทนพื้นไม้หรือลามิเนต
รวมทั้งแจ้งผู้เช่าเรื่องการปรับหากมีการขีดเขียนบนฝาผนัง การหาผู้เช่าอาจจะยากกว่าเล็กน้อย ต้องใช้นายหน้าที่ชำนาญตลาดญี่ปุ่นจริงๆ เพราะผู้เช่ามักเป็นผู้บริหารระดับสูง และเกือบทั้งหมดให้นายหน้าช่วยดำเนินการให้
สรุป การจะเลือกซื้อห้องชุดแบบ 1 หรือ 2 ห้องนอน ควรพิจารณาว่าโครงการที่เราจะซื้อเหมาะกับคนเช่าที่พักอาศัยคนเดียว หรือพักกับครอบครัว ซึ่งกลุ่มที่เป็นครอบครัว โดยเฉพาะที่มีเด็ก มักต้องการพื้นที่ให้เด็กได้วิ่งเล่น และควรจะอยู่ใกล้ศูนย์การค้าหรือซุปเปอร์มาเก็ต เพื่อให้แม่บ้านไปจ่ายตลาด และทำกิจกรรมต่างๆ ได้ง่ายครับ
สุดท้ายอย่าลืมคิดถึงงบประมาณของผู้ซื้อเอง และแผนการใช้งานในอนาคตด้วยนะครับ
จากใจ
ZmyHome
ฝากกดแชร์เป็นกำลังใจให้ด้วยครับ
คอนโดแบบ 1 ห้องนอน ผู้บริหารญี่ปุ่นที่เช่าคอนโดแบบหนึ่งห้องนอน ส่วนใหญ่จะพักอาศัยคนเดียว ดังนั้นสิ่งที่ผู้บริหารเหล่านี้คำนึงถึง อันดับแรก มักเป็นเรื่องความสะดวกในการเดินทางไปทำงาน บางบริษัทอาจให้พนักงานแชร์รถกัน ดังนั้นพนักงานก็มักจะเลือกพักในคอนโดที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักของผู้ที่อยู่อาศัยมาก่อนมากนัก ทำเลที่ใกล้รถไฟฟ้า ก็อาจจะทำให้ผู้เช่าญี่ปุ่นมีความสะดวกมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากบริษัทที่ทำงานตั้งอยู่ในเมือง กลุ่มลูกค้าเหล่านี้อาจชอบโครงการที่ไม่เก่ามากนัก เพราะบรรยากาศดี และมีปัญหาซ่อมแซมน้อยกว่า ห้องอาจจะไม่ต้องใหญ่มาก แต่ก็อย่าเล็กจนเกินไป ห้องชุดขนาด 20-30 ตร.ม. ขอให้หลีกเลี่ยง เพราะเล็กเกินไป อาจจะผู้เช่าญี่ปุ่นที่ไม่ใช่ Expat และมีงบน้อย ขนาดที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 40-50 ตร.ม. สำหรับคอนโดแบบ 1 ห้องนอน
ข้อดี ความต้องการสูงกว่า เพราะผู้เช่าชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักพักอาศันคนเดียว ซึ่งบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า Expat ที่มาทั้งครอบครัว ค่าเช่าต่อตารางเมตรสูงกว่า เพราะหลายๆ บริษัท เตรียมงบไว้สำหรับเซอร์วิสอพาร์ตทเมนท์ เพื่อให้ผู้บริหารมีความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย แต่เจ้าของให้อาจต้องเพิ่มบริการต่างๆ ให้ผู้เช่าด้วย เช่น เคเบิลทีวีญี่ปุ่น อินเตอร์เน็ต เครื่องกรองน้ำ แม่บ้านทำความสะอาดอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง ค่าสาธารณูปโภค
ข้อควรระวัง การซื้อคอนโด 1 ห้องนอนเพื่อปล่อยเช่ากับชาวญี่ปุ่น อาจต้องมีแม่บ้านให้ เพราะส่วนใหญ่เป็นคนโสด ทำงานหนัก เลยต้องการคนช่วยทำความสะอาดบ้าน คอนโดที่เปิดตัวใหม่ส่วนใหญ่มักเป็น 1 ห้องนอน ซึ่งการแข่งขันก็จะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะหากโครงการเราอยู่ในทำเลที่ไม่ดี
คอนโดแบบ 2 ห้องนอน ผู้บริหารญี่ปุ่นที่เช่าคอนโด 2 ห้องนอน ส่วนมากจะเป็นพักอาศัยเป็นครอบครัว และบริษัทจะให้งบสูงกว่าผู้บริหารที่พักอาศัยอยู่คนเดียวเล็กน้อย และแน่นอน เมื่อมาพักกันเป็นครอบครัว แปลว่าผู้เช่ามักจะมีภรรยาและลูกมาด้วย ดังนั้นสิ่งสำคัญในการเลือกที่พักของผู้บริหารญี่ปุ่นที่พักเป็นครอบครัว และแน่นอน สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ ทำเลที่รถโรงเรียนญี่ปุ่นวิ่งผ่าน ซึ่งจะอยู่ระหว่างย่านอโศก-เอกมัย
นอกจากนี้แล้วกลุ่มผู้เช่าที่เป็นครอบครัวจะชอบโครงการที่อยู่ใกล้ ฟูจิซุปเปอร์มาร์เก็ต ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม ฯลฯ เนื่องจากสะดวกสำหรับแม่บ้านที่จะไปซื้อกับข้าวมาประกอบอาหาร เพราะอาจจะไม่มีรถใช้ระหว่างวัน และครอบครัวที่มีเด็ก ก็มักจะต้องการโครงการที่มี Facilities ให้เด็กๆ ได้วิ่งเล่นด้วย
ดังนั้น ห้อง 2 ห้องนอน ในโครงการที่มีพื้นที่ หรือ facilities จำกัด ก็อาจจะมีจุดด้อย เมื่อผู้เช่าเปรียบเทียบกับโครงการอื่น สำหรับครอบครัวที่มีลูกเล็ก ผู้เช่ามักจะชอบคอนโดที่ไปโรงพยาบาลสะดวกด้วย เช่น รพ.สมิติเวช เป็นต้น เพราะมีแผนกที่ดูแลลูกค้าญี่ปุ่นโดยเฉพาะ
ข้อดี จำนวนอุปทานมีเพียง 30%-40% ของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องที่มีขนาดที่เหมาะสมสำหรับครอบครัว 80-100 ตร.ม. ขึ้นไป ห้องแบบ 2 ห้องนอน ส่วนใหญ่มักตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ดี เช่น เป็นห้องมุม วิวสวน เป็นต้น ซึ่งเหมาะกับการลงทุนระยะยาว
ข้อเสีย ผลตอบแทนต่ำกว่าห้อง 1 ห้องนอน เพราะห้องประเภทนี้บริษัทมักจัดให้ชาวญี่ปุ่นที่มีแม่บ้านมาด้วย ดังนั้นงบประมาณ (หากคิดต่อพื้นที่เป็นตารางเมตร) มักต่ำกว่าห้องแบบ 1 ห้องนอน ครอบครัวที่มีเด็ก อาจจะทำให้ห้องทรุดโทรมได้ง่าย โดยจุดที่จะเสียหายบ่อยจะเป็นพวกพื้นไม้ เฟอร์นิเจอร์ไม้ หรือกำแพงที่อาจะจะถูกขีดเขียน ซึ่งหากเราอยากจะป้องกันไว้ตั้งแต่ต้น อาจเลือกพื้นที่เป็น Granito แทนพื้นไม้หรือลามิเนต
รวมทั้งแจ้งผู้เช่าเรื่องการปรับหากมีการขีดเขียนบนฝาผนัง การหาผู้เช่าอาจจะยากกว่าเล็กน้อย ต้องใช้นายหน้าที่ชำนาญตลาดญี่ปุ่นจริงๆ เพราะผู้เช่ามักเป็นผู้บริหารระดับสูง และเกือบทั้งหมดให้นายหน้าช่วยดำเนินการให้
สรุป การจะเลือกซื้อห้องชุดแบบ 1 หรือ 2 ห้องนอน ควรพิจารณาว่าโครงการที่เราจะซื้อเหมาะกับคนเช่าที่พักอาศัยคนเดียว หรือพักกับครอบครัว ซึ่งกลุ่มที่เป็นครอบครัว โดยเฉพาะที่มีเด็ก มักต้องการพื้นที่ให้เด็กได้วิ่งเล่น และควรจะอยู่ใกล้ศูนย์การค้าหรือซุปเปอร์มาเก็ต เพื่อให้แม่บ้านไปจ่ายตลาด และทำกิจกรรมต่างๆ ได้ง่ายครับ
สุดท้ายอย่าลืมคิดถึงงบประมาณของผู้ซื้อเอง และแผนการใช้งานในอนาคตด้วยนะครับ
จากใจ
ZmyHome
ฝากกดแชร์เป็นกำลังใจให้ด้วยครับ
