รับมือฝุ่นคลุมเมือง ด้วยเครื่องฟอกอากาศ
เครื่องฟอกอากาศที่วางจำหน่ายกันในท้องตลาดปัจจุบัน มีอยู่ 2 เทคโนโลยี คือ
- แบบดูดสิ่งสกปรกเข้ามากรองด้วยแผ่นกรอง โดยใช้แผ่นกรองที่ประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะช่วยดักเชื้อแบคทีเรียที่ลอยมากับอากาศ ซึ่งเครื่องฟอกอากาศที่สามารถดักจับอนุภาคที่เล็กมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งกินไฟมากเท่านั้นเพราะต้องใช้แรงดูดมาก และอากาศจะผ่านเข้าสู่ส่วนดักกลิ่น ที่สามารถกรองกลิ่นต่าง ๆ ได้
- แบบการปล่อยประจุไฟฟ้าลบ (anion หรือ negative ion) ดึงดูดให้ฝุ่นละอองตกลงสู่พื้นเร็วขึ้น ไม่ล่องลอยอยู่ในอากาศ และยังสามารถฆ่าเชื้อโรคในอากาศบางชนิดได้ด้วย เรามักจะได้ยินสินค้าบางตัวใช้เทคโนโลยีนี้เป็นจุดขาย เช่น "PlasmaCluster มีเฉพาะใน......" เอ่อ ไม่โฆษณาดีกว่าเนาะ
นอกจากนี้ เรายังเห็นความสามารถอื่น ๆ ที่เครื่องฟอกอากาศทำได้ เช่น เพิ่ม-ลดความชื้นในอากาศ, กำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ด้วย activated carbon, ฆ่าเชื้อโรคด้วย UV หรือแม้กระทั่งดักจับยุงได้อีกด้วย
การเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศ มีปัจจัยที่เราจำเป็นต้องพิจารณาดังนี้:-
- ขนาดห้องและขนาดของเครื่องฟอกอากาศ (Area Coverage) เครื่องฟอกอากาศแต่ละเครื่องจะมีความสามารถในการครอบคลุมพื้นที่ไม่เท่ากัน เราควรจะซื้อเครื่องฟอกอากาศที่รองรับพื้นที่ได้มากกว่าพื้นที่ห้องของเรา เช่น ห้องขนาด 20 ตารางเมตร เราควรซื้อเครื่องฟอกอากาศที่รองรับพื้นที่ขนาด 25-30 ตารางเมตร เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
- แผ่นกรองอากาศ (Air Filter) เป็นหัวใจสำคัญของเครื่องฟอกอากาศ โดยทั่วไปก็จะมี 2-3 ชั้น อาจเพิ่มไปถึง 5 ชั้นในบางรุ่น หรือในเครื่องรุ่นประหยัดอาจพบเป็นแพ็คเกจมาเลยก็ได้ ซึ่งต้องเปลี่ยนใหม่ตามอายุการใช้งาน แผ่นกรองแต่ละชั้นมีคุณสมบัติและหน้าที่ต่างกันดังนี้
- แผ่นกรองหยาบ (Pre-Filter) มักพบเป็นตาข่ายหรอฟองน้ำอยู่ชั้นนอกสุด มีหน้าที่เอาไว้กรอง หรือดักจับฝุ่นละอองขนาดใหญ่เอาไว้ชั้นนึงก่อนที่จะเข้าไปยังแผ่นกรองอากาศลำดับต่อไป โดยส่วนมากจะสามารถนำมาล้างทำความสะอาดได้ ควรทำทุก ๆ 1-2 เดือน
- แผ่นกรองอากาศ HEPA (High Efficiency Particulate Arrestance) เป็นแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง ที่มีความสามารถในการกรองฝุ่นขนาดเล็กมากถึง 2.5 ไมครอน รวมไปถึงกรองเชื้อรา แบคทีเรีย มลพิษต่าง ๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศได้เป็นอย่างดี ลักษณะเป็นแผ่นที่มีร่องลึกผิวเป็นขุย ๆ ผู้ผลิตมักไม่แนะนำให้ล้างแผ่นกรองนี้เพราะอาจทำให้เสื่อมสภาพเร็วขึ้น ควรนำมาปัดดูดฝุ่นออกทุก ๆ 4-6 เดือน
- แผ่นกรองคาร์บอน (Carbon Filter) ถ้าคุณพบว่ามีแผ่นกรองสีออกดำ ๆ ในเครื่องด้วย แสดงว่าเครื่องฟอกอากาศของคุณมีแผ่นกรองกลิ่น ที่ช่วยกรองกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ อยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็น กลิ่นควันบุหรี่ กลิ่นก๊าซ กลิ่นอาหาร กลิ่นสัตว์เลี้ยง สารฟอลมาลดีไฮด์ สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs - Volatile Organic Compounds) เช่น กลิ่นสี กลิ่นน้ำยาย้อมผม น้ำยาทาเล็บ และอื่น ๆ อีกมากมาย แผ่นกรองนี้ห้ามล้างเด็ดขาดนะครับ แต่ก็ควรนำมาปัดดูดฝุ่นออกทุก ๆ 4-6 เดือนเช่นกัน
- ประสิทธิภาพในการฟอกอากาศ ดูได้จากค่า CADR (Clean Air Delivery Rate) หรืออัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์ต่อนาที ซึ่งเป็นค่าสากลที่ใช้ในการวัดประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องฟอกอากาศ ยิ่งมีค่า CADR สูงมากเท่าไร ก็แสดงให้เห็นว่าเครื่องฟอกอากาศมีประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้นเท่านั้น
- อากาศที่ผ่านเข้าเครื่องฟอกอากาศ (Air Volume/Air Flow) แสดงค่าอากาศที่ผ่านเข้า-ออกเครื่องฟอกอากาศในช่วงเวลาหนึ่ง หากเครื่องฟอกอากาศนั้นสามารถดูดอากาศเข้ามาฟอกได้ในปริมาณที่มากและเร็ว อากาศในห้องก็จะยิ่งสะอาดเร็วขึ้น
- อัตราการเปลี่ยนถ่ายอากาศสะอาดให้ห้องภายใน 1 ชั่วโมง (Air Change per Hour) หากบนฉลากเครื่องฟอกอากาศระบุไว้ที่ 6 หมายความว่า อากาศในห้องจะถูกเปลี่ยนให้เป็นอากาศที่สะอาดถึง 6 รอบต่อชั่วโมง
- ระดับเสียง เนื่องจากเราจำเป็นต้องเปิดเครื่องฟอกอากาศไว้ในเวลานาน และคนส่วนใหญ่ก็มักนำไปใช้ในห้องนอนเสียด้วย คงไม่ดีแน่หากเกิดผลเสียต่อสุขภาพจากเครื่องฟอกอากาศมีเสียงดังรบกวนการนอน
- บริการหลังการขาย เนื่องจากเครื่องฟอกอากาศจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนอะไหล่ เช่น แผ่นกรองอากาศ ทุก ๆ 3-6 เดือนแล้วแต่สภาพอากาศของบ้าน หากอยู่ใกล้ถนนอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนบ่อยขึ้น เราควรสอบถามบริการหลังการขาย ว่าสามารถหาซื้ออะไหล่ได้ง่ายหรือไม่ ราคาประมาณเท่าไหร่ และบริษัทมีการบริการแบบไหน หากอะไหล่หายาก ราคาก็แพง ถ้ามีอะไรขัดข้องต้องเดินทางไปที่สำนักงานเอง อย่างนี้คงจะไม่สะดวกเท่าไหร่ครับ
จากใจ ZmyHome
ฝากกดแชร์เป็นกำลังใจให้ด้วยครับ