5 พฤติกรรมคว่ำโปรเจ็กต์ ทราบแล้วเปลี่ยนก่อนจ้างสถาปนิกออกแบบบ้าน
หลายคนคงรู้ว่า การให้สถาปนิกช่วยบริการออกแบบบ้านให้ จะมีโอกาสได้บ้านที่ตรงใจและตรงความต้องการมากกว่าการเลือกซื้อบ้านที่สร้างสำเร็จรูปขึ้นมา แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่แม้เสียแรงเสียเวลาจ้างสถาปนิกมาออกแบบให้ แต่กลับไม่ได้ผลตามที่ต้องการ บางรายถึงขั้นผิดใจกันมองหน้ากันไม่ติด ทั้ง ๆ ที่หากเข้าใจกรรมวิธีร่วมงานกับสถาปนิกอีกสักนิด จะช่วยให้แฮปปี้เอ็นดิ้งทั้งสองฝ่าย พฤติกรรมที่ทำให้การจ้างสถาปนิกออกแบบบ้านล้มเหลวมีอย่างไรบ้าง มาติดตามกัน
1. เลือกสถาปนิกคนไหนก็เหมือน ๆ กัน
เพราะงานออกแบบอาศัยความถนัดและความชื่นชอบใส่ลงไปในงาน สถาปนิกที่มีความชำนาญชื่นชอบและสนใจในงานสไตล์หนึ่ง จะทำงานสไตล์นั้นได้ดีกว่าเสมอ หากคิดว่าเลือกสถาปนิกคนไหนมาก็ต้องทำงานตามที่เราต้องการได้ เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องนัก โดยเฉพาะหากความต้องการของเราแตกต่างกับคนทั่วไป อย่างไรก็ดี ไม่ได้หมายความว่าสถาปนิกคนหนึ่งจะทำงานได้ไม่กี่แบบ แต่การทำงานจะง่ายและสะดวกกว่าถ้าเขาได้ออกแบบในสิ่งที่เขาถนัด
2. ไม่คุยสัญญาให้รัดกุม ไม่คุยการจ่ายเงินให้ชัดเจน
งานออกแบบบ้านตามความต้องการใช้ระยะเวลานานและมีปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องหลากหลาย มีโอกาสที่จะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ เช่น ต้องยกเลิกสัญญากลางครัน หรือพื้นที่บ้านที่คุยไว้แต่แรกออกแบบไป ๆ มา ๆ แล้วต้องขยายพื้นที่เพิ่ม หรือลดพื้นที่ออกแบบลง ซึ่งส่งผลต่อค่าบริการทั้งสิ้น หากไม่เคยคุยสัญญาให้ชัดเจนว่าสถาปนิกจะคิดค่าบริการในกรณีที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นไว้ก่อน ย่อมมีโอกาสขุ่นเคืองใจกันได้ง่าย
3. ปิดบังงบประมาณ
บางคนคิดว่าบอกงบประมาณให้เยอะกว่าที่มีเอาไว้ก่อน สถาปนิกจะได้ออกแบบให้บ้านสวยไว้ก่อนใหญ่ไว้ก่อน จะได้คุ้ม ๆ หรือบ้างก็คิดว่าบอกงบให้น้อยเข้าไว้ เพราะตอนหลังต้องบานปลายแน่นอน ความคิดทั้งสองฝั่งนี้ล้วนทำให้เกิดปัญหา เพราะสถาปนิกมีหน้าที่ออกแบบและคาดการณ์ว่าบ้านที่ออกแบบไว้จะมีค่าก่อสร้างที่เกิดขึ้นประมาณเท่าใด หากเขารู้ตัวเลขงบประมาณที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง แบบที่ออกมาอาจจะใหญ่โตหรูหราเกินไป สร้างตามที่ออกแบบไว้ไม่ได้ หรือจำกัดจำเขี่ยเกินไป ไม่ถูกใจเจ้าของอย่างเราเสียที พองบจริงมาเฉลยภายหลัง มักต้องย้อนขั้นตอนกลับไปแก้ไขแบบใหม่ ทำให้เปลืองเวลาเปลืองแรงทั้งสองฝ่ายโดยใช่เหตุ
4. หาที่ปรึกษานอกวงการเพิ่มเข้ามา ในจังหวะเวลาที่สายเกินไป
หมอดูฮวงจุ้ย ญาติผู้ใหญ่ พ่อตาแม่ยาย ย่อมเป็นที่ปรึกษาที่ดี (และมีอิทธิพล) ในชีวิตได้แน่ แต่หากปล่อยให้กระบวนการออกแบบผ่านไปแล้วจึงค่อยไปขอคำปรึกษาจากที่ปรึกษานอกวงการทั้งหลาย มักจะทำให้เกิดปัญหาขัดเคืองใจในภายหลัง เพราะความชอบและประสบการณ์ของคนเราแต่ละคนต่างกัน และหลายครั้งแต่ละคนมักมีหลักการที่คาดเดาโดยคนนอกได้ยาก (โดยเฉพาะหมอดูฮวงจุ้ย) หากเราคิดจะเชื่อมั่นในที่ปรึกษาเหล่านี้ ควรให้เขาเข้ามาเป็นที่ปรึกษาตั้งแต่ช่วงออกแบบต้น ๆ มิใช่รอให้ออกแบบไปเนิ่นนานแล้วค่อยเฉลยตัวละครลับกับสถาปนิก เพราะตัวละครลับเหล่านี้ไม่ได้รู้ที่มาที่ไปของการออกแบบตั้งแต่ต้น อาจสร้างเซอร์ไพรส์ถึงขั้นล้มแบบ อันนำไปสู่ความกระอักกระอ่วนใจกับสถาปนิกได้ เพราะเขาก็จำเป็นต้องเรียกร้องค่าบริการเพิ่มขึ้นจากการทำงานใหม่ และเราก็ต้องเสียเวลาเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทางที่ดีจึงควรให้ที่ปรึกษาเหล่านี้มีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น และมีน้อยคนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะมากคนก็มากความ
5. คิดว่าสถาปนิกคือลูกจ้าง หรือผู้ใต้บังคับบัญชา
แม้เราจะไม่สนใจแต่เสียเงินจ้างมาแล้ว ยังไงเสียเขาต้องทำมาให้ถูกใจเราให้ได้ในที่สุด งานออกแบบเป็นงาน Custom made ย่อมต้องอาศัยการร่วมกันทำงานระหว่างผู้จ้างและผู้ถูกจ้าง (และการทำงานของอีกหลายฝ่าย) เจ้าของบ้านเองต้องทำการบ้านของตัวเองมาในระดับหนึ่ง เช่นรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ชอบอยู่อาศัยในบ้านแบบไหน ไม่ชอบแบบไหน และสื่อสารพูดคุยกันกับสถาปนิก ประหนึ่งทำงานกลุ่ม ขั้นตอนการส่งแบบแต่ละครั้ง ทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องนั่งลงคุยกัน ทำความเข้าใจในแบบ และทำการบ้านมาทั้งคู่ แน่นอนว่าอาจจะมีศัพท์เทคนิคหรือสิ่งที่เจ้าของบ้านไม่เคยรู้ต้องทำความเข้าใจเพิ่มเติม เช่น ข้อบังคับทางกฎหมาย ทิศทางแดด หรือวัสดุต่าง ๆ แต่หากเจ้าของบ้านทำความเข้าใจจะช่วยให้งานออกแบบราบรื่นขึ้น หากเอาแต่รับฟังเออออ หรือเอาแต่สั่งอย่างเดียว ย่อมยากที่จะทำให้ผลงานออกมาเป็นที่พึงพอใจ
จะเห็นได้ว่าการจ้างสถาปนิกมาออกแบบบ้านให้นั้นซับซ้อนกว่าไปหาซื้อบ้านที่สร้างสำเร็จอยู่ไม่น้อย แต่ก็เป็นความซับซ้อนที่หากเราทุ่มเทใส่ใจด้วยความเข้าใจลงไป ความยุ่งยากนี้จะตอบแทนด้วยบ้านที่ถูกใจเรามากกว่าแน่นอน
จากใจ
ZmyHome
ฝากกดแชร์เป็นกำลังใจด้วยนะครับ
1. เลือกสถาปนิกคนไหนก็เหมือน ๆ กัน
เพราะงานออกแบบอาศัยความถนัดและความชื่นชอบใส่ลงไปในงาน สถาปนิกที่มีความชำนาญชื่นชอบและสนใจในงานสไตล์หนึ่ง จะทำงานสไตล์นั้นได้ดีกว่าเสมอ หากคิดว่าเลือกสถาปนิกคนไหนมาก็ต้องทำงานตามที่เราต้องการได้ เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องนัก โดยเฉพาะหากความต้องการของเราแตกต่างกับคนทั่วไป อย่างไรก็ดี ไม่ได้หมายความว่าสถาปนิกคนหนึ่งจะทำงานได้ไม่กี่แบบ แต่การทำงานจะง่ายและสะดวกกว่าถ้าเขาได้ออกแบบในสิ่งที่เขาถนัด
2. ไม่คุยสัญญาให้รัดกุม ไม่คุยการจ่ายเงินให้ชัดเจน
งานออกแบบบ้านตามความต้องการใช้ระยะเวลานานและมีปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องหลากหลาย มีโอกาสที่จะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ เช่น ต้องยกเลิกสัญญากลางครัน หรือพื้นที่บ้านที่คุยไว้แต่แรกออกแบบไป ๆ มา ๆ แล้วต้องขยายพื้นที่เพิ่ม หรือลดพื้นที่ออกแบบลง ซึ่งส่งผลต่อค่าบริการทั้งสิ้น หากไม่เคยคุยสัญญาให้ชัดเจนว่าสถาปนิกจะคิดค่าบริการในกรณีที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นไว้ก่อน ย่อมมีโอกาสขุ่นเคืองใจกันได้ง่าย
3. ปิดบังงบประมาณ
บางคนคิดว่าบอกงบประมาณให้เยอะกว่าที่มีเอาไว้ก่อน สถาปนิกจะได้ออกแบบให้บ้านสวยไว้ก่อนใหญ่ไว้ก่อน จะได้คุ้ม ๆ หรือบ้างก็คิดว่าบอกงบให้น้อยเข้าไว้ เพราะตอนหลังต้องบานปลายแน่นอน ความคิดทั้งสองฝั่งนี้ล้วนทำให้เกิดปัญหา เพราะสถาปนิกมีหน้าที่ออกแบบและคาดการณ์ว่าบ้านที่ออกแบบไว้จะมีค่าก่อสร้างที่เกิดขึ้นประมาณเท่าใด หากเขารู้ตัวเลขงบประมาณที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง แบบที่ออกมาอาจจะใหญ่โตหรูหราเกินไป สร้างตามที่ออกแบบไว้ไม่ได้ หรือจำกัดจำเขี่ยเกินไป ไม่ถูกใจเจ้าของอย่างเราเสียที พองบจริงมาเฉลยภายหลัง มักต้องย้อนขั้นตอนกลับไปแก้ไขแบบใหม่ ทำให้เปลืองเวลาเปลืองแรงทั้งสองฝ่ายโดยใช่เหตุ
4. หาที่ปรึกษานอกวงการเพิ่มเข้ามา ในจังหวะเวลาที่สายเกินไป
หมอดูฮวงจุ้ย ญาติผู้ใหญ่ พ่อตาแม่ยาย ย่อมเป็นที่ปรึกษาที่ดี (และมีอิทธิพล) ในชีวิตได้แน่ แต่หากปล่อยให้กระบวนการออกแบบผ่านไปแล้วจึงค่อยไปขอคำปรึกษาจากที่ปรึกษานอกวงการทั้งหลาย มักจะทำให้เกิดปัญหาขัดเคืองใจในภายหลัง เพราะความชอบและประสบการณ์ของคนเราแต่ละคนต่างกัน และหลายครั้งแต่ละคนมักมีหลักการที่คาดเดาโดยคนนอกได้ยาก (โดยเฉพาะหมอดูฮวงจุ้ย) หากเราคิดจะเชื่อมั่นในที่ปรึกษาเหล่านี้ ควรให้เขาเข้ามาเป็นที่ปรึกษาตั้งแต่ช่วงออกแบบต้น ๆ มิใช่รอให้ออกแบบไปเนิ่นนานแล้วค่อยเฉลยตัวละครลับกับสถาปนิก เพราะตัวละครลับเหล่านี้ไม่ได้รู้ที่มาที่ไปของการออกแบบตั้งแต่ต้น อาจสร้างเซอร์ไพรส์ถึงขั้นล้มแบบ อันนำไปสู่ความกระอักกระอ่วนใจกับสถาปนิกได้ เพราะเขาก็จำเป็นต้องเรียกร้องค่าบริการเพิ่มขึ้นจากการทำงานใหม่ และเราก็ต้องเสียเวลาเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทางที่ดีจึงควรให้ที่ปรึกษาเหล่านี้มีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น และมีน้อยคนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะมากคนก็มากความ
5. คิดว่าสถาปนิกคือลูกจ้าง หรือผู้ใต้บังคับบัญชา
แม้เราจะไม่สนใจแต่เสียเงินจ้างมาแล้ว ยังไงเสียเขาต้องทำมาให้ถูกใจเราให้ได้ในที่สุด งานออกแบบเป็นงาน Custom made ย่อมต้องอาศัยการร่วมกันทำงานระหว่างผู้จ้างและผู้ถูกจ้าง (และการทำงานของอีกหลายฝ่าย) เจ้าของบ้านเองต้องทำการบ้านของตัวเองมาในระดับหนึ่ง เช่นรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ชอบอยู่อาศัยในบ้านแบบไหน ไม่ชอบแบบไหน และสื่อสารพูดคุยกันกับสถาปนิก ประหนึ่งทำงานกลุ่ม ขั้นตอนการส่งแบบแต่ละครั้ง ทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องนั่งลงคุยกัน ทำความเข้าใจในแบบ และทำการบ้านมาทั้งคู่ แน่นอนว่าอาจจะมีศัพท์เทคนิคหรือสิ่งที่เจ้าของบ้านไม่เคยรู้ต้องทำความเข้าใจเพิ่มเติม เช่น ข้อบังคับทางกฎหมาย ทิศทางแดด หรือวัสดุต่าง ๆ แต่หากเจ้าของบ้านทำความเข้าใจจะช่วยให้งานออกแบบราบรื่นขึ้น หากเอาแต่รับฟังเออออ หรือเอาแต่สั่งอย่างเดียว ย่อมยากที่จะทำให้ผลงานออกมาเป็นที่พึงพอใจ
จะเห็นได้ว่าการจ้างสถาปนิกมาออกแบบบ้านให้นั้นซับซ้อนกว่าไปหาซื้อบ้านที่สร้างสำเร็จอยู่ไม่น้อย แต่ก็เป็นความซับซ้อนที่หากเราทุ่มเทใส่ใจด้วยความเข้าใจลงไป ความยุ่งยากนี้จะตอบแทนด้วยบ้านที่ถูกใจเรามากกว่าแน่นอน
จากใจ
ZmyHome
ฝากกดแชร์เป็นกำลังใจด้วยนะครับ
