‘ธุรกิจโรงแรม’อ่วม!! ปิดตัวแล้ว 900 แห่ง ตกงาน 6.7 หมื่นคน
เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2563 มูลนิธิประเมินค่า-นายหน้าแห่งประเทศไทย จัดเสวนาวิชาการ "ฟ้าใหม่อสังหาริมทรัพย์ หลังโควิด-19" ผ่านเฟซบุ๊คไลฟ์
นายสัมพันธ์ แป้นพัฒน์ ที่ปรึกษาสมาคมโรงแรมไทย กล่าวว่า ภาพรวมของกลุ่มธุรกิจโรงแรมในสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 นั้นเป็นการส่งผลกระทบรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งรุนแรงกว่าสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในไทย อาทิ การประท้วงปิดสนามบิน, น้ำท่วม ปี 2554 และการชุมนุมทางการเมือง ฯลฯ ซึ่งปัจจุบัน ผู้ประกอบการโรงแรมมีการปิดตัวไปแล้วกว่า 900 แห่งทั่วประเทศ ขณะที่มีพนักงานตกงาน 67,000 คน โดยส่วนใหญ่ ยังได้รับผลกระทบจากการขอเงินประกันสังคมที่มีข้อแม้ว่าจะได้รับก็ต่อเมื่อมีคำสั่งจากผู้ว่าฯที่มีอำนาจในการสั่งปิดเท่านั้น แต่เนื่องจากสภาวะดังกล่าวส่งผลให้จำนวนผู้เข้าพักมีไม่ถึง 20% ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระค่าน้ำและค่าไฟ รวมถึงต้นทุนต่าง ๆ
"หากสถานการณ์ลากยาวไปมากกว่า 4 เดือน จะมีอีกหลายโรงแรมที่ต้องปิดกิจการลง ตนจึงอยากฝากยังรัฐบาลให้รีบคลี่คลายสถานการณ์ให้ดีขึ้นโดยเร็ว ซึ่งหากสถานการณ์ดีขึ้นในไตรมาส 3 ตนเชื่อว่าจะกลับสู่ภาวะปกติอีกครั้งไม่เกินไตรมาส 4 อย่างแน่นอน"
ขณะที่นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับธุรกิจที่อยู่อาศัยภายใต้สถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 นั้นเป็นเหมือนคลื่นระลอกที่ 2 ที่ทำให้เกิดการชะลอตัวภายหลังจากมาตรการคุมสินเชื่อ หรือ LTV ที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ประกาศใช้ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมองว่าอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 1-2 ปีนี้จะมีการหดตัวลง 30% จะกระทบในแง่ของโครงการใหม่ที่จะชะลอการเปิดตัวทำให้เกิดกลไกการควบคุมซัพพลายใหม่ในตลาดออกไป 1.5 ปี ขณะที่ โครงการรอขายที่จะต้องลดราคาเพื่อจูงใจผู้บริโภค อย่างไรก็ดี ตนเชื่อว่าข้อดีของสถานการณ์ดังกล่าวจะช่วยให้โครงการที่เปิดขายอยู่แล้วมีอัตราการระบายสต๊อกได้มากขึ้น
ทั้งนี้ นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIC ระบุว่า ปริมาณที่อยู่อาศัยเหลือขาย โดยผลการสำรวจพบว่า "หน่วยที่อยู่อาศัยเหลือขาย" ทั่วประเทศ ณ สิ้นปี 2562 มีประมาณ 300,000 หน่วย ซึ่งมีจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนประมาณ 10% ทั้งที่การเปิดตัวของโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในปี 2562 ลดลงกว่าปีก่อนหน้าถึงประมาณ -20% นับว่าเพิ่มมากกว่าที่ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้คาดไว้
ที่มา : หนังสือพิมพ์เเนวหน้า, ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
นายสัมพันธ์ แป้นพัฒน์ ที่ปรึกษาสมาคมโรงแรมไทย กล่าวว่า ภาพรวมของกลุ่มธุรกิจโรงแรมในสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 นั้นเป็นการส่งผลกระทบรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งรุนแรงกว่าสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในไทย อาทิ การประท้วงปิดสนามบิน, น้ำท่วม ปี 2554 และการชุมนุมทางการเมือง ฯลฯ ซึ่งปัจจุบัน ผู้ประกอบการโรงแรมมีการปิดตัวไปแล้วกว่า 900 แห่งทั่วประเทศ ขณะที่มีพนักงานตกงาน 67,000 คน โดยส่วนใหญ่ ยังได้รับผลกระทบจากการขอเงินประกันสังคมที่มีข้อแม้ว่าจะได้รับก็ต่อเมื่อมีคำสั่งจากผู้ว่าฯที่มีอำนาจในการสั่งปิดเท่านั้น แต่เนื่องจากสภาวะดังกล่าวส่งผลให้จำนวนผู้เข้าพักมีไม่ถึง 20% ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระค่าน้ำและค่าไฟ รวมถึงต้นทุนต่าง ๆ
"หากสถานการณ์ลากยาวไปมากกว่า 4 เดือน จะมีอีกหลายโรงแรมที่ต้องปิดกิจการลง ตนจึงอยากฝากยังรัฐบาลให้รีบคลี่คลายสถานการณ์ให้ดีขึ้นโดยเร็ว ซึ่งหากสถานการณ์ดีขึ้นในไตรมาส 3 ตนเชื่อว่าจะกลับสู่ภาวะปกติอีกครั้งไม่เกินไตรมาส 4 อย่างแน่นอน"
ขณะที่นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับธุรกิจที่อยู่อาศัยภายใต้สถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 นั้นเป็นเหมือนคลื่นระลอกที่ 2 ที่ทำให้เกิดการชะลอตัวภายหลังจากมาตรการคุมสินเชื่อ หรือ LTV ที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ประกาศใช้ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมองว่าอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 1-2 ปีนี้จะมีการหดตัวลง 30% จะกระทบในแง่ของโครงการใหม่ที่จะชะลอการเปิดตัวทำให้เกิดกลไกการควบคุมซัพพลายใหม่ในตลาดออกไป 1.5 ปี ขณะที่ โครงการรอขายที่จะต้องลดราคาเพื่อจูงใจผู้บริโภค อย่างไรก็ดี ตนเชื่อว่าข้อดีของสถานการณ์ดังกล่าวจะช่วยให้โครงการที่เปิดขายอยู่แล้วมีอัตราการระบายสต๊อกได้มากขึ้น
ทั้งนี้ นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIC ระบุว่า ปริมาณที่อยู่อาศัยเหลือขาย โดยผลการสำรวจพบว่า "หน่วยที่อยู่อาศัยเหลือขาย" ทั่วประเทศ ณ สิ้นปี 2562 มีประมาณ 300,000 หน่วย ซึ่งมีจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนประมาณ 10% ทั้งที่การเปิดตัวของโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในปี 2562 ลดลงกว่าปีก่อนหน้าถึงประมาณ -20% นับว่าเพิ่มมากกว่าที่ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้คาดไว้
ที่มา : หนังสือพิมพ์เเนวหน้า, ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
