ความต่างของแสง Daylight, Cool White, Warm White
หลายคนเมื่อไปเลือกซื้อหลอดไฟคงเคยได้ยินคำศัพท์ว่า Daylight, Cool White, และ Warm White ทั้งหมดคือชื่อสีของการส่องสว่างที่เปล่งออกมาจากหลอดไฟ เป็นสีของอุณหภูมิแสง (ไม่ใช่สีของหลอดไฟซึ่งทำเป็นสีส้มสีฟ้าสีขาว)
เรื่องนี้มาจากหลักการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งกำหนดค่าสีการส่องสว่างด้วยอุณหภูมิสี โดยใช้มาตรฐานการวัดจากนำวัตถุสีดำที่มีการดูดซับความร้อนได้สมบูรณ์มาเผา แล้วจะได้สีของแสงเปล่งออกมาต่างๆกันที่อุณหภูมิองศาเคลวินต่างๆกัน ที่อุณหภูมิร้อนน้อยๆจะได้แสงสีออกส้ม และเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นแสงจะออกสีขาว จนร้อนมากจะได้สีขาวปนฟ้า เป็นไปตามหลักการที่หลายคนคงเคยได้ยินว่าไฟที่ออกสีฟ้าคือไฟที่อุณหภูมิสูงกว่าไฟที่ออกสีส้ม เช่นไฟจากเตาแก๊สร้อนกว่าไฟจากถ่านไม้
แต่สีของอุณหภูมิแสงไม่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิของหลอดไฟแต่อย่างใดนะครับ เป็นแค่มาตรฐานของสีการส่องสว่างที่เราสัมผัสได้เท่านั้น เพราะอย่างแสงเทียนหรือหลอดไส้ซึ่งมีสีออกส้มมากๆ ก็มีอุณหภูมิสีของแสงที่ต่ำ แต่ผลิตความร้อนมาก เพราะมีประสิทธิภาพการทำงานน้อย
เนื่องจากอุณหภูมิแสงต่างๆมีผลต่อการมองเห็นและการใช้งานพื้นที่ต่างๆ หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ที่เราใช้กันทั่วไปจึงผลิตสีตามอุณหภูมิแสงมาสามแบบได้แก่ Daylight (ประมาณ 6,500 องศาเคลวิน) สีออกขาวปนฟ้า Cool White (ประมาณ 4,500 องศาเคลวิน) สีออกขาว Warm White (ประมาณ 3,500 องศาเคลวิน) สีอมส้ม
โดยทั่วไปสี Daylight จะให้ความรู้สึกสว่างที่สุด ซึ่งเหมาะจะใช้กับห้องที่ต้องทำงานละเอียดๆ เช่นห้องทำงาน โต๊ะแต่งตัว หรือห้องครัว หรือถ้าเป็นอาคารประเภทโรงงาน โรงพยาบาล สำนักงาน ก็มักใช้ไฟ Daylight นี่แหละครับ ซึ่งจะว่าไปก็ทำให้บ้านพักอาศัยไม่ค่อยใช้ไฟสีนี้นัก เพราะดูไม่เป็นบ้าน
Cool White จะเหมาะสำหรับห้องที่พักอาศัยทั่วไปที่ไม่ได้เน้นงานละเอียดนัก แต่ยังต้องการให้มีชีวิตชีวาอยู่พอสมควร
Warm White เหมาะสำหรับห้องที่ไม่ต้องทำอะไรละเอียด ให้ความรู้สึกอบอุ่น พักผ่อน โรแมนติก เช่นห้องนอน หรือห้องทานข้าวที่ต้องการบรรยากาศ (สีสันอาหารจะน่าทานขึ้นอีกมากเมื่อได้แสงส้ม)
การเลือกอุณหภูมิสีให้ถูก จะทำให้แต่ละห้องมีบรรยากาศและการใช้งานที่เหมาะสม และในทางตรงข้ามหากเลือกผิดก็มีผลต่อการใช้งานและอารมณ์ของห้องเช่นกัน เช่น ห้องทำงานหรืออ่านหนังสือที่ใช้ Warm White จะทำให้สายตาล้า ง่วงได้ง่าย แต่ถ้าห้องนอนไปเลือกใช้ไฟ Daylight จะทำให้รู้สึกไม่ผ่อนคลาย เหมือนนอนอยู่ในสำนักงาน ส่วนถ้ามีกรณีการใช้งานที่แตกต่างเฉพาะจุดก็เลือกใช้ไฟสีต่างๆเป็นจุดๆไป เช่นไฟสำหรับอ่านหนังสือในห้องนอนก็เลือกเป็น Daylight ในขณะที่ทั้งห้องนอนเป็น Warm White ก็ยังได้
จากใจ
ZmyHome
กดแชร์เป็นกำลังใจให้ทีมงานด้วยครับ
เรื่องนี้มาจากหลักการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งกำหนดค่าสีการส่องสว่างด้วยอุณหภูมิสี โดยใช้มาตรฐานการวัดจากนำวัตถุสีดำที่มีการดูดซับความร้อนได้สมบูรณ์มาเผา แล้วจะได้สีของแสงเปล่งออกมาต่างๆกันที่อุณหภูมิองศาเคลวินต่างๆกัน ที่อุณหภูมิร้อนน้อยๆจะได้แสงสีออกส้ม และเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นแสงจะออกสีขาว จนร้อนมากจะได้สีขาวปนฟ้า เป็นไปตามหลักการที่หลายคนคงเคยได้ยินว่าไฟที่ออกสีฟ้าคือไฟที่อุณหภูมิสูงกว่าไฟที่ออกสีส้ม เช่นไฟจากเตาแก๊สร้อนกว่าไฟจากถ่านไม้
แต่สีของอุณหภูมิแสงไม่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิของหลอดไฟแต่อย่างใดนะครับ เป็นแค่มาตรฐานของสีการส่องสว่างที่เราสัมผัสได้เท่านั้น เพราะอย่างแสงเทียนหรือหลอดไส้ซึ่งมีสีออกส้มมากๆ ก็มีอุณหภูมิสีของแสงที่ต่ำ แต่ผลิตความร้อนมาก เพราะมีประสิทธิภาพการทำงานน้อย
เนื่องจากอุณหภูมิแสงต่างๆมีผลต่อการมองเห็นและการใช้งานพื้นที่ต่างๆ หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ที่เราใช้กันทั่วไปจึงผลิตสีตามอุณหภูมิแสงมาสามแบบได้แก่ Daylight (ประมาณ 6,500 องศาเคลวิน) สีออกขาวปนฟ้า Cool White (ประมาณ 4,500 องศาเคลวิน) สีออกขาว Warm White (ประมาณ 3,500 องศาเคลวิน) สีอมส้ม
ข้อคิดในการเลือกใช้
โดยทั่วไปสี Daylight จะให้ความรู้สึกสว่างที่สุด ซึ่งเหมาะจะใช้กับห้องที่ต้องทำงานละเอียดๆ เช่นห้องทำงาน โต๊ะแต่งตัว หรือห้องครัว หรือถ้าเป็นอาคารประเภทโรงงาน โรงพยาบาล สำนักงาน ก็มักใช้ไฟ Daylight นี่แหละครับ ซึ่งจะว่าไปก็ทำให้บ้านพักอาศัยไม่ค่อยใช้ไฟสีนี้นัก เพราะดูไม่เป็นบ้าน
Cool White จะเหมาะสำหรับห้องที่พักอาศัยทั่วไปที่ไม่ได้เน้นงานละเอียดนัก แต่ยังต้องการให้มีชีวิตชีวาอยู่พอสมควร
Warm White เหมาะสำหรับห้องที่ไม่ต้องทำอะไรละเอียด ให้ความรู้สึกอบอุ่น พักผ่อน โรแมนติก เช่นห้องนอน หรือห้องทานข้าวที่ต้องการบรรยากาศ (สีสันอาหารจะน่าทานขึ้นอีกมากเมื่อได้แสงส้ม)
การเลือกอุณหภูมิสีให้ถูก จะทำให้แต่ละห้องมีบรรยากาศและการใช้งานที่เหมาะสม และในทางตรงข้ามหากเลือกผิดก็มีผลต่อการใช้งานและอารมณ์ของห้องเช่นกัน เช่น ห้องทำงานหรืออ่านหนังสือที่ใช้ Warm White จะทำให้สายตาล้า ง่วงได้ง่าย แต่ถ้าห้องนอนไปเลือกใช้ไฟ Daylight จะทำให้รู้สึกไม่ผ่อนคลาย เหมือนนอนอยู่ในสำนักงาน ส่วนถ้ามีกรณีการใช้งานที่แตกต่างเฉพาะจุดก็เลือกใช้ไฟสีต่างๆเป็นจุดๆไป เช่นไฟสำหรับอ่านหนังสือในห้องนอนก็เลือกเป็น Daylight ในขณะที่ทั้งห้องนอนเป็น Warm White ก็ยังได้
จากใจ
ZmyHome
กดแชร์เป็นกำลังใจให้ทีมงานด้วยครับ
